ราคาน้ำมันดิบปิดร่วง 2.7% WTI ปิดที่ 51.49 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังที่ประชุมกลุ่มโอเปกยังไม่มีข้อสรุปลดกำลังการผลิต ขณะที่สต๊อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐลดลง 7.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ถึง 8 เท่า
เมื่อคืนวันพฤหัส (6 ธ.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ปิดลดลง 2.7% หลังจากผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน โดยโอเปกต้องรอจนกว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงกับรัสเซียในวันนี้ (7 ธ.ค.)
นายคาลิด อัล-ฟาลีห์ รมว.พลังงานซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า โอเปกและประเทศพันธมิตรกำลังดำเนินการเพื่อปรับลดกำลังการผลิต แต่โอเปกอาจประสบความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลง ถ้าหากไม่สามารถประนีประนอมกับรัสเซียได้
ทั้งนี้ โอเปกต้องการให้รัสเซียให้ความร่วมมือปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันอย่างน้อย 2.5-3 แสนบาร์เรล/วัน แต่รัสเซียยืนกรานว่าสามารถลดกำลังการผลิตได้เพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าว
นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รมว.พลังงานรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียไม่สามารถลดกำลังการผลิตน้ำมันได้มากนักเมื่อเทียบกับผู้ผลิตน้ำมันรายอื่น เพราะรัสเซียจำเป็นต้องผลิตน้ำมันจำนวนมากในช่วงฤดูหนาว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ปิดที่ 51.49 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 1.40 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 2.7% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. ปิดที่ 60.06 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือลดลง 1.50 เหรียญสหรัฐ
ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบ ปิดที่ 59.69 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.05 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 0.08%
ด้านบมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันประจำวันที่ 7 ธ.ค. ว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง หลังได้รับแรงกดดันจากการขายทำกำไรของนักลงทุน เนื่องจากผิดหวังกับการประชุมของกลุ่มโอเปกและรัสเซีย ในวันที่ 6 ธ.ค. 61 ที่ผ่านมา ที่ไร้ข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องการปรับลดกำลังการผลิต
ทั้งนี้ แม้ว่ากลุ่มโอเปกต่างเห็นพ้องกันที่จะปรับลดกำลังการผลิต แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดได้จนกว่าจะมีการหารือกับรัสเซีย โดยรมว.พลังงานของรัสเซียจะเดินทางมาประชุมกับกลุ่มโอเปกในวันนี้เพื่อหาข้อสรุป หลังเมื่อวานได้มีการหารือกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงต่อเนื่อง หลังผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน (CFO) ของบริษัท Huawei ถูกจับกุมที่เมืองแวนคูเวอร์ และจะถูกส่งไปยังสหรัฐฯ จากข้อกล่าวหาว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ มีต่ออิหร่าน ส่งผลให้ตลาดกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้บางส่วนในการประชุม G20
ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง สหรัฐฯ ปรับลดลงกว่า 7.3 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ถึง 8 เท่า
อย่างไรก็ตาม สหรัฐได้กลับมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสําเร็จรูปสุทธิครั้งแรกในรอบ 45 ปี หลังปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบประวัติการณ์ที่ 3.2 ล้านบาร์เรล/วัน
บมจ.ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI จะเคลื่อนไหวในกรอบ 49-54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 58-63 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับปัจจัยที่น่าจับตามอง ได้แก่ ข้อสรุปของการประชุมระหว่างผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก หลังรัสเซียจะกลับมาให้ข้อสรุปในวันนี้ (7 ธ.ค.) ว่าจะตกลงปรับลดปริมาณการผลิตในระดับไหน ,ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านในเดือน พ.ย. 61 มีแนวโน้มปรับลดลง
และแคนาดาประกาศให้ผู้ผลิตน้ำมันดิบลดกำลังการผลิตลง 8.7% หรือเท่ากับ 3.25 แสนบาร์เรล/วัน จนกว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังแคนาดาจะลดลง จากนั้นจะให้ผู้ผลิตลดกำลังการผลิตลงอย่างต่อเนื่องราว 9.5 หมื่นบาร์เรล/วัน จนถึงเดือน ธ.ค.2562 เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันดิบตกต่ำ