ม.หอการค้า เผยผลสำรวจแท็กซี่พบเกือบ 60% ต้องเช่าขับ เกิน 50% เป็นหนี้นอกระบบ ขณะที่รายจ่ายต่อเดือนแตะ 4.1-4.7 หมื่นบาท ชี้ค่ามิเตอร์เริ่มต้น 35 บาทไม่เหมาะ อยากเห็นเริ่มต้นที่ 48 บาท
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เผยผลสำรวจ “การประเมินศักยภาพธุรกิจท้องถิ่นของประเทศไทย : กรณีศึกษาธุรกิจบริการแท็กซี่” โดยสำรวจความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ 1,211 ตัวอย่าง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ กล่าวว่า ผลสำรวจพบว่า มีผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ส่วนใหญ่หรือ 76.69% ทำอาชีพนี้มาตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปจนถึงมากกว่า 20 ปี ส่วนที่ทำมาไม่เกิน 5 ปี อยู่ที่ 23.31% นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังทำงานหนัก โดยต้องขับรถหารายได้เฉลี่ยถึง 25 วัน/เดือน โดยทำทั้งช่วงเช้า ช่วงเย็น และช่วงกลางคืน
ที่สำคัญมีผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ที่ยึดการขับรถแท็กซี่เป็นอาชีพหลักถึง 87.98% ส่วนที่ทำเป็นอาชีพเสริมมีเพียง 12.02%
เมื่อถามถึงรายได้ก่อนหักรายจ่ายจากการประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ส่วนใหญ่ 27.27% ระบุว่าอยู่ที่ 1,601-1,800 บาท/วัน ขณะที่รายได้ก่อนหักรายจ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,702.50 บาท/วัน โดยมีรายได้มากกว่ารายจ่าย 39.24% มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย 22.19% และมีรายได้เท่ารายจ่าย 38.57%
ด้านสถานภาพของผู้ขับแท็กซี่ 58.02% มีการออมเป็นรายเดือน โดยเฉลี่ยเงินออมที่ 796.97 บาทต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ 45.53% ออมได้ต่ำกว่า 500 บาท และ 41.98% ไม่มีการออมเป็นรายเดือน ขณะที่ 47.36% บอกว่า ปัจจุบันไม่มีหนี้สิน
แต่ที่น่าสนใจคือ 47.02% ที่ระบุว่าไม่มีหนี้ ด้วยเหตุผลไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อหรือการกู้ยืมได้ ส่วนกลุ่มที่บอกว่ามีหนี้สิน 52.64% โดยแหล่งที่มาของหนี้สิน ส่วนใหญ่ถึง 46.10% เป็นหนี้นอกระบบอย่างเดียว ส่วน 35.57% เป็นหนี้ทั้งในและนอกระบบ ขณะที่เป็นหนี้ในระบบอย่างเดียว มีเพียง 18.33% เท่านั้น
กลุ่มตัวอย่างยังระบุว่า มีภาระต้องผ่อนชำระหนี้เฉลี่ย 4,456.67 บาท/เดือน และเมื่อเปรียบเทียบภาระหนี้สินปัจจุบันเทียบกับปีที่ผ่านมา กลุ่มที่ระบุว่ามีภาระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งมีสาเหตุ เช่น ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนบุตรหลาน มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ มีรายได้ลดลง นำเงินไปเสริมสภาพคล่องในกิจการ และลงทุนซื้อรถแท็กซี่ เป็นต้น
ส่วนการผ่อนชำระในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่าง 52.11% ระบุว่า ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เลย ส่วน 47.89% บอกว่าเคยผิดนัดชำระหนี้ เพราะสาเหตุรายได้ไม่เพียงพอ ลืมไปชำระ จำเป็นต้องนำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น และหมุนเงินไม่ทัน ตามลำดับ
เมื่อถามถึงวัตถุประสงค์ในการจะกู้เงินในอนาคต ได้แก่ ชำระหนี้เก่า ใช้จ่ายทั่วไป ลงทุนประกอบอาชีพ จ่ายบัตรเดรดิต จ่ายค่าการศึกษาบุตรหลาน นำไปเสริมสภาพคล่องธุรกิจ และซื้อรถแท็กซี่
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่าง 100% ระบุว่า ต้องการกู้เงินในระบบ วงเงินที่ต้องการกู้เฉลี่ย 245,832.08 บาท แต่ความสามารถในการกู้เงินในระบบมีเพียง 34.13% ส่วน 65.87% ไม่สามารถกู้ในระบบได้ เนื่องจากไม่มีประวัติการเคลื่อนไหวทางการเงิน ไม่มีหลักประกัน รายได้น้อย ไม่มีประวัติการชำระหนี้ โครงการไม่เป็นที่สนใจของธนาคารพาณิชย์ ไม่ได้รับการอนุมัติจากธนาคาร และไม่รู้จะติดต่อธนาคารอย่างไร
สำหรับสถานการณ์การประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่นั้น ส่วนใหญ่ 59.70% ไม่ได้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่เอง ส่วน 40.30% ที่เป็นเจ้าของรถแท็กซี่เอง จำนวน 68.56% มีภาระต้องผ่อนชำระรถ เฉลี่ยเดือนละ 17,976.43 บาทต่อเดือน
ขณะที่มีต้นทุนในการประกอบอาชีพเมื่อรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ประมาณ 41,582.31-47,156.14 บาทต่อเดือน ซึ่งจากต้นทุนการประกอบอาชีพที่สูงดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างถึง 72.83% จึงบอกว่า อัตราค่าโดยสารมิเตอร์ที่เริ่มต้น 35 บาท ไม่เหมาะสม โดยอัตราที่เห็นว่าเหมาะสม เฉลี่ยอยู่ที่ 48.35 บาท
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างถึง 70.45% บอกว่า ต้องการมีรถแท็กซี่เป็นของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่า สะดวกต่อการใช้งาน คุ้มกว่าการเช่ารถ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า จัดสรรเวลาทำงานได้ เป็นต้น โดยเงินทุนที่ต้องการนำไปลงทุนซื้อรถแท็กซี่ เฉลี่ยที่ 416,726.68 บาท
เมื่อถามว่า หากภาครัฐมีการจัดทำโครงการให้สินเชื่อเพื่อซื้อรถแท็กซี่เป็นของตัวเอง กลุ่มตัวอย่าง 56.91% ระบุว่า สนใจเข้าร่วม เพราะอัตราการผ่อนชำระไม่สูง ดอกเบี้ยไม่แพง จะได้มีรถเป็นของตัวเอง และไม่ต้องเครียดในการหาค่าเช่ารถ
ขณะที่ 16.24% บอกว่าไม่แน่ใจ ส่วน 26.85% ระบุว่า ไม่เข้าร่วม เพราะไม่อยากเป็นหนี้เพิ่ม คิดว่าขั้นตอนยุ่งยาก คิดว่าขอไปก็ไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้ข่าวสาร และคิดว่า ไม่น่าจะมีโครงการลักษณะนี้จริง
นอกจากนั้น เมื่อถามว่าหากธนาคารของรัฐ มีโครงการให้ผ่อนค่ารถแท็กซี่เป็นรายวันเท่ากับค่าเช่ารถแท็กซี่ในปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่าง 53.78% สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยสามารถผ่อนได้ตั้งแต่ต่ำสุด 593.18 บาทต่อวัน ถึงสูงสุด 894.53 บาทต่อวัน หรือเฉลี่ยที่ 623.57 บาทต่อวัน
กลุ่มตัวอย่างบอกด้วยว่า หากมีรถแท็กซี่เป็นของตัวเอง เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาลดภาระหนี้สินได้ในระดับมาก 79.12% ช่วยลดต้นทุนค่าเช่ารถแท็กซี่ ได้ในระดับมาก 76.82% และช่วยเพิ่มรายได้ในระดับมาก 66.35% รวมถึง เมื่อมีรถเป็นของตัวเอง ยังช่วยแก้ปัญหาด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ไม่ต้องรีบส่งรถ สภาพรถจะได้รับดูแลดีขึ้นเพราะเป็นรถตัวเอง ผู้โดยสารไม่ถูกส่งลงก่อนถึงที่หมาย ไม่ปฏิเสธรับผู้โดยสาร ไม่ต้องขับรถเร็วเพื่อเร่งทำเวลา เป็นต้น
สำหรับสิ่งที่กลุ่มตัวอย่างต้องการได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ได้แก่ 1.เพิ่มอัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 2.ช่วยเหลือเรื่องภาระหนี้สิน 3.ปรับหรือลดราคาค่าแก๊ส 4.ดูแลระดับราคาค่าเช่าให้เหมาะสม 5.กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะด้านการบริโภคและประชาชนผู้มีรายได้น้อย และ 6.ปรับหรือลดอัตราภาษีให้เหมาะสม
ส่วนข้อเสนอและสิ่งที่ต้องการได้รับจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือSME Development Bank ได้แก่ 1.ช่วยเหลือในการกู้เงินหรือขอสินเชื่อ 2.ลดขั้นตอน/เงื่อนไขในการกู้เงิน 3.ไม่ต้องมีคนหรือหลักทรัพย์มาค้ำประกัน 4.ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และ 5.การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้หลากหลายและเข้าถึงความต้องการของธุรกิจหรืออาชีพ
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า จากจำนวนผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ประมาณ 1.2 แสนราย ยังเกี่ยวข้องไปถึงบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนมาก ทั้งผู้โดยสารที่ใช้บริการ ไม่ต่ำกว่า 3-5 ล้านคนต่อวัน รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทย มากกว่า 30 ล้านคนต่อปี จึงควรยกระดับมาตรฐานด้านบริการ คุณภาพรถ และความปลอดภัยของรถแท็กซี่ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น รวมถึง สร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้บริการ และการท่องเที่ยวไทย
นายมงคล กล่าวว่า ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอาชีพอิสระ ควรต้องได้รับการดูแล เนื่องจากคนกลุ่มนี้ ต้องทำงานหนัก แต่ไม่มีสวัสดิการรองรับ และส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือภาครัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากสถานการณ์ที่ ส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาต้องพึ่งการใช้เงินกู้นอกระบบ เพราะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ ทำให้มีภาระในการประกอบอาชีพสูง ไม่ว่าจะเป็นต้องจ่ายค่าเช่ารถ หรือต้องผ่อนรถในอัตราดอกเบี้ยสูง เพราะเป็นเงินกู้นอกระบบ
ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพขับแท็กซี่ส่วนใหญ่จึงมีความต้องการจะมีรถเป็นของตัวเอง โดยเจาะจงต้องเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงินในระบบ คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพราะมั่นใจว่า จะช่วยลดภาระหนี้สิน และเพิ่มรายได้ในการประกอบอาชีพ รวมถึง ยังส่งผลดีไปถึงด้านงานบริการผู้โดยสารจะมีคุณภาพดีขึ้นด้วย