ครึ่งแรกปี 61 ตลาดถุงยางอนามัยหดตัว 1.1% เหตุละเลยป้องกัน-คุมกำเนิด เจ้าของแบรด์ดัง รุกทำตลาดเฟซบุ๊คเจาะกลุ่มลูกค้า “มิลเลนเนียล-เจนวาย”
นายกัณห์ กุลอัฐภิญญา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ (TNR) ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ แบรนด์ ONETOUCH และ PLAYBOY เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 2561) มูลค่าตลาดถุงยางอนามัยในประเทศไทยลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวม 1,432 ล้านบาท หรือคิดเป็น 72 ล้านชิ้น (ไม่รวมถุงยางที่แจกจ่ายโดยภาครัฐและองค์กรไม่แสวงหากำไร)
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้จำนวนการใช้ถุงยางอนามัยลดลง มาจากค่านิยมเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิดที่เปลี่ยนแปลงไป สะท้อนจากอัตราการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของประชาชนคนไทยที่เพิ่มขึ้นจากในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดถุงยางอนามัยในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการจัดกิจกรรมกระตุ้นการขาย รวมทั้งกระตุ้นการขายผ่านโซเชียลมีเดีย
นายกัณห์ กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดกว่า 30 แบรนด์ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 หน่วยสินค้า (SKU) ซึ่งมาจากผู้ผลิตในประเทศ 5 ราย และผู้นำเข้าจากต่างประเทศอีก 2 ราย โดย TNR ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 28% ภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 32% ในปี 2562 โดยรุกจะวางจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางร้านค้า เช่น ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายยา
“ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เพราะสื่อสารภาพลักษณ์แบรนด์สินค้าได้ชัดเจนภายใต้คอนเซปต์ “ไปให้ถึงจุด ทำให้สุดยอด” โดยเฉพาะการขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ คือ คนยุคมิลเลนเนียล หรือกลุ่ม Gen Y ที่เกิดในช่วงปี 2523 – 2543 (อายุ 18 – 38 ปี) โดยทำการสื่อสารผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค”นายกัณห์กล่าว
นายกัณห์ กล่าวว่า ในส่วนพฤติกรรมการเลือกซื้อถุงยางอนามัยของผู้บริโภคในปัจจุบัน จะให้ความสำคัญกับแบรนด์และเป็นความน่าเชื่อถือในมาตรฐาน เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่กล้าเสี่ยงใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ เพราะคำนึงถึงการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์