นายกฯปลื้มประสิทธิภาพด้านสุขภาพของไทย รั้งอันดับ 27 ของโลก เพิ่มขึ้น 17 อันดับ ขณะที่สื่อนอกชมไทยเศรษฐกิจดี-ตลาดหุ้นสดใส
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กเผยดัชนีความมีประสิทธิภาพด้านระบบดูแลสุขภาพของโลกปี 2018 พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 27 จากทั้งหมด 56 ประเทศ ดีขึ้นจากปีก่อนที่อยู่อันดับที่ 41 หรือเพิ่มขึ้น 14 อันดับ นับเป็นประเทศที่เลื่อนอันดับมากที่สุดในครั้งนี้ ซึ่งนายกฯพึงพอใจการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของไทยดังกล่าว
ขณะเดียวกัน จากข้อมูลพบว่าประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อคนลดลง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือมีค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพอยู่ที่ 219 เหรียญสหรัฐต่อคน หรือประมาณ 7,086 บาทต่อคน และอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 75.1 ปี จากเดิมที่ 74.6 เมื่อปีที่ผ่านมา
สำหรับดัชนีความมีประสิทธิภาพด้านระบบดูแลสุขภาพของโลก พิจารณาจาก 1.ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ เช่น การรักษาพยาบาล การป้องกันโรค การวางแผนครอบครัว กิจกรรมด้านโภชนาการ การรักษาฉุกเฉิน เป็นต้น 2.อายุขัยโดยเฉลี่ยของประชากรในประเทศที่ไม่ต่ำกว่า 70 ปี และ 3.จีดีพีต่อหัวมากกว่า 5,000 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 162,000 บาทต่อปี และ4. ประเทศที่มีประชากรไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน
นายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทยว่า เป็นต้นแบบและแหล่งเรียนรู้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเห็นว่าเป็นระบบที่ยั่งยืน เพราะสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2559 – 2568)
“ยุทธศาสตร์การพัฒนาไทยเป็นศูนย์สุขภาพนานาชาติ ประกอบด้วย การส่งเสริมสุขภาพ การบริการสุขภาพ การศึกษา วิชาการ และงานวิจัยที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการเป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยไทยเป็นประเทศที่มีผู้ใช้บริการทางการแพทย์จำนวนมาก เพราะไทยมีจุดแข็งหลายประการ เช่น ค่ารักษาพยาบาลไม่สูงมาก การบริการดี มีจำนวนโรงพยาบาลมาตรฐานมาก และการสนับสนุนอย่างจริงจังของภาครัฐ เป็นต้น”พล.ท.สรรเสริญกล่าว
นอกจากนี้ นายกฯ ได้รับรายงานด้วยว่า Wall Street Journal สื่อสายเศรษฐกิจที่นักลงทุนทั่วโลกสนใจติดตามข้อมูลจำนวนมาก ได้เผยแพร่บทความ เกี่ยวกับประเทศไทย โดยระบุว่าแม้ในช่วง 20 ปีก่อน ไทยจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น และเงินบาทไทย มีแนวโน้มสดใส รวมทั้งกำลังกลายเป็นประเทศที่มีสถานะเป็นผู้ให้ทุน มากกว่าที่จะขอรับทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ