ม.หอการค้าฯ คาดในช่วงใกล้วันเลือกตั้งเงินสะพัดทั่วประเทศ 3-4 หมื่นล้าน พร้อมปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้โต 4.6% “สมคิด” ชี้หุ้นขึ้นแรง สะท้อนเศรษฐกิจแกร่ง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในช่วงใกล้วันเลือกตั้งคาดว่าจะมีเงินสะพัด 3-4 หมื่นล้านบาท และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวจะสร้างความเชื่อมั่นทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ และช่วยดึงการลงทุนด้านต่างๆกลับมาดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีวันเลือกตั้งชัดเจนแล้ว แต่ยังต้องติดตามว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะปลดล็อกเรื่องการหาเสียงมากน้อยเพียงใด
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ศูนย์พยากรณ์ฯ ได้ปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้เป็น 4.6% จากเดิม 4.5% เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งเศรษฐกิจโลกที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้การส่งออกทั้งปีเติบโต 8.7% ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่คาดว่าจะอยู่ที่ 38.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ว่าเหตุการณ์เรือล่ม ที่ จ.ภูเก็ตจะทำให้นักท่องเที่ยวหายไป 7 แสนคน หรือคิดเป็นมูลความเสียหาย 3.5 หมื่นล้านบาท
ขณะที่การขับเคลื่อนลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐที่มีโอกาสเร่งตัวในช่วงครึ่งปีหลัง จะทำให้การลงทุนเอกชนฟื้นตัว ส่วนราคาพืชผลเกษตรเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะข้าวเปลือก อ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนปัจจัยลบต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐจีนที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ อัตราดอกเบี้ยของตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงจากวิกฤติค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยธรรมชาติ
นายธนวรรธน์ กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณว่าอาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มจากปัจจุบัน 1.5% ว่า ศูนย์พยากรณ์ฯ เห็นว่ายังไม่ควรปรับขึ้นดอกเบี้ยจนถึงปีหน้า โดยเห็นว่าเวลาที่เหมาะสมที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย คือ หลังไตรมาส 2 ปี 2562 แบ่ง 2 ช่วง คือ ต้นปีปรับขึ้น 0.25% และปลายปีอีก 0.25% เพื่อให้ดอกเบี้ยนโยบายถึงสิ้นปี 2562 จะอยู่ที่ 2% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจไทย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 38.57 จุด ในวันนี้ (13 ก.ย.) สะท้อนว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยนั้นแข็งแกร่ง แต่ที่ผ่านมาถูกกดไว้ด้วยประเด็นเรื่องเลือกตั้ง เมื่อมีความชัดเจนเรื่องเลือกตั้งออกมาแล้ว ดัชนีหุ้นจึงปรับตัวขึ้นมามาก โดยเชื่อว่าในระยะต่อไปบริษัทจัดอันดับต่างๆ จะทยอยปรับอันดับความน่าเชื่อถือของไทยเพิ่มขึ้นด้วย