ราคาน้ำมันดิบโลกร่วงมากกว่า 1% กังวลอุปทานเพิ่มขึ้น หลัง “ซาอุฯ-รัสเซีย” ประกาศเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
เมื่อคืนวานนี้ (30 ต.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ปิดลดลง หลังจากนักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรล เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่า สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 2.4 ล้านบาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีทติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลจะลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากสัญญาณอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในตลาด รวมถึงการแข็งค่าของสกุลดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล เพิ่มขึ้น 0.45% แตะระดับ 97.0104 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ปิดที่ 66.18 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.86 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 1.3% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ปิดที่ 75.91 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือลดลง 1.9%
ส่วนราคาน้ำมันดูไบ ปิดที่ 76.04 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.19 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.24%
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตาม คือ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะรายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ของสหรัฐ ในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาประเทศไทย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันในตลาด โดยรายงานระบุว่า การผลิตน้ำมันจากรัสเซีย สหรัฐ และซาอุดีอาระเบีย เพิ่มขึ้นแตะระดับ 33 ล้านบาร์เรล/วันเป็นครั้งแรกในเดือนก.ย. หรือเพิ่มขึ้น 10 ล้านบาร์เรล/วัน นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทศวรรษนี้
ด้านบมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31 ต.ค. ว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมากกว่า 1% จากความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังซาอุดิอาระเบียและรัสเซียส่งสัญญาณว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิต
ขณะเดียวกัน มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมัน มีแนวโน้มจะถูกกดดัน จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังคงยืดเยื้อ
ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ที่จะประกาศในวันพฤหัสนี้ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกับเป็นสัปดาห์ที่ 6 หลังซาอุดิอาระเบียและรัสเซียส่งสัญญาณที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต
ล่าสุดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของรัสเซีย สหรัฐ และซาอุดิอาระเบีย ในเดือน ก.ย.2561 แตะระดับ 33 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิตรายใหญ่ทั้งสามประเทศสามารถรองรับความต้องการใช้น้ำมันได้ถึง 1 ใน 3 ของความต้องการใช้น้ำมันดิบโลก
ด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบซึ่งอยู่ในระดับที่สูง กำลังส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
อย่างไรก็ตาม นายไบรอล ผู้อำนวยการบริหารของ IEA คาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะยังคงขยายตัวต่อไป แม้ว่าจะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันอากาศยานและอุตสาหกรรมพลาสติกยังคงเติบโตได้ดี
บมจ.ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าน้ำมันดิบ WTI จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 65-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์จะเคลื่อนไหวในกรอบ 74-79 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตา คือ การที่รมว.พลังงานซาอุดิอาระเบีย ประกาศว่า ซาอุฯจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 11 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิม 10.7 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อชดเชยอุปทานที่หายไปจากอิหร่านและเวเนซูเอลล่า และพร้อมเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1-2 ล้านบาร์เรล หากอุปทานไม่เพียงพอต่ออุปสงค์ของโลก
ส่วนปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบจากอิหร่าน คาดจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังประเทศต่างๆ ปรับลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน ก่อนวันกำหนดการคว่ำบาตรของสหรัฐ ในวันที่ 4 พ.ย.นี้