อ๋อม สกาวใจ เปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเส้นทางนักแสดงและนักการเมือง พร้อมเล่าทั้งน้ำตา กับเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดในชีวิต
นับว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่คร่ำหวอด อยู่ในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน สำหรับ อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์ นางร้ายมากฝีมือที่ฟาดฟันบทบาทมามากมาย อีกทั้งปัจจุบันเจ้าตัวยังได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางนักการเมืองอีกด้วย จนใครๆ ต่างชื่นชมในความสามารถอันล้นเหลือของเธอ ล่าสุด อ๋อม สกาวใจ ก็ได้ออกมาเปิดใจในรายการ WOODY FM เล่าถึงเส้นทางนักแสดงและนักการเมือง รวมไปถึงเรื่องราวสะเทือนใจที่สุดในชีวิต

อ๋อม สกาวใจ เล่าทั้งน้ำตา เรื่องนี้จำไม่เคยลืม
โดยทางด้าน อ๋อม สกาวใจ ได้เล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองว่า ตนเองเป็นคนชอบดูข่าว ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ชอบอ่านหนังสือ อยากรู้เรื่องราวว่าโลกเขาไปถึงไหนแล้ว พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข่าวการเมืองเป็นแบบนี้ ข่าวอันนี้เป็นแบบนี้ แต่ไม่ได้คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ก้าวเข้ามาอยู่ในจุดนี้ เพราะว่าตอนเด็กๆ คิดว่าอยากจะเป็นนักแสดงแล้วก็ได้มาเป็นจริงๆ
“คืออ๋อมเป็นคนที่ทำอะไรทำสุด เล่นละครก็เล่นละครสุดความยากของตัวเองคือเราไม่มีผู้จัดการ เราเกิดมาดูแลตัวเองมาตั้งแต่เข้าวงการ แล้วเวลาทำงานความที่เป็นอุปสรรคของเราคือเราจะต้องทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะให้ทุกคนอยากจ้างเรา เหมือนแบบนึกถึงเรา แล้วเราก็อยู่ในวงการนี้ได้มาประมาณ 30 กว่าปีจากฝันที่ตั้งแต่เด็กเราก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จในการเป็นนักแสดง กับเส้นทางการเมืองเราอาจจะแพ้ แต่ว่าวันหนึ่งเราก็ชนะได้ใครจะไปรู้”

นอกจากนั้นก็ยังได้เล่าพร้อมน้ำตา ถึงเรื่องราวที่ฝังใจที่สุดในชีวิต “ก่อนที่จะท้องจะมีครอบครัว เรากับแฟนอยากเลี้ยงสุนัขสักตัวหนึ่ง อ๋อมก็ไปถูกชะตากับน้องคนหนึ่ง อยู่เชียงใหม่พันธุ์เฟรนช์บูลด็อก เพื่อมาเลี้ยงด้วยกันกับแฟน ตั้งชื่อเขาว่ารถดั้ม เขาก็ซื่อสัตย์รักเจ้าของแล้วรถดั้มก็มีอ๋อมและคุณเอเป็นโลกทั้งชีวิตของเขา จนเราก็รู้สึกว่าเขาเหมือนจะเหงาก็เลยได้ไปหาตัวอื่นมาด้วยมาอยู่กับเขาอีก 2 ตัว (ร้องไห้) คิดถึงเขาถ้าย้อนเวลากลับไปได้อาจจะดูแลเขามากกว่าเดิม แล้วอ๋อมก็เลี้ยงเขาได้มาจนอายุ 10 ปี
จนอ๋อมแต่งงาน แล้วก็ท้อง เขาก็ยังอยู่กับเรา เล่นกับเรา แต่หมาอีก 2 ตัวที่เอามาเป็นเพื่อนเขา เราก็รักทั้งหมดเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเราเสียใจที่สุดสำหรับรถดั้ม เพราะว่าเราผูกพันและรู้สึกว่าดูแลเขาไม่ดีพอ วันหนึ่งเขาก็มีเนื้องอกที่ตรงหลังมันปูดออกมาก็รู้สึกว่าอาจจะเป็นต่อมอะไรสักอย่าง แต่ในใจคิดว่าอย่าให้เป็นมะเร็งนะ มันก็ค่อยๆ ปูดจนวันหนึ่งอ๋อมคลอดลูก จากที่เราเล่นกับเขาเยอะ แต่พอมีลูกเราไม่มีเวลาให้เขาเลย เพราะว่าต้องดูแลลูก แต่เวลาเรากลับบ้านก็จะบอกเขาทุกครั้งว่าแม่รักรถดั้มเหมือนเดิมนะ แม่ไม่ได้ไปไหนนะแต่แม่ต้องดูแลน้อง ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือเปล่า

พอมีลูกก็ย้ายบ้านเขาก็มาอยู่กับเรา แต่ว่าเขาไม่ได้มาคลุกคลีกับเราในบ้านเหมือนเดิมเพราะมีเด็ก แล้วทุกวันเขาก็จะมานั่งมองเราที่ห้องทานข้าวมันจะมีกระจกใส จะมานั่งรอทุกวันว่าเมื่อไหร่แม่จะเปิดประตูมาเล่นกับเขานะ อ๋อมก็จะทักทายแต่ว่าไม่ได้ไปคลุกคลีไม่ได้อุ้มเล่นเหมือนเดิม จนวันหนึ่งเนื้องอกที่ปูดมาเรื่อยๆ มันก็แตก พอมันแตกก็เลยพาไปหาหมอ เขาก็เอกซเรย์แล้วก็เรียกเรามาดูเขาก็บอกว่ารถดั้มเป็นมะเร็ง เขาก็บอกว่าเสี่ยงมีแต่รอดกับตายเลย มันเสี่ยงมากเพราะว่าเขาแก่แล้ว งั้นเราไม่ผ่าเพราะว่ามันต้องวางยาด้วย
แล้วเขาหน้าสั้นจะหายใจลำบาก ก็ไม่ผ่าให้เขาอยู่กับเราไปเรื่อยๆ (ร้องไห้) ซึ่งอ๋อมรู้สึกเสียใจที่เราไม่ได้เล่นกับเขาเหมือนเดิม ก็ยังคิดถึงเขาอยู่ทุกวัน แล้วเขาจากไปในวันที่เราลงพื้นที่หาเสียง ไม่ได้อยู่กับเขา ถ้ารถดั้มยังอยู่ก็อยากจะบอกกับเขาว่า แม่ขอโทษนะ ที่รถดั้มอาจจะเข้าใจผิดว่าที่แม่มีน้องแล้วลืมเขา แม่มีน้องแต่แม่ก็ยังรักรถดั้มเหมือนเดิม”
