เปิดมุมมองวิทยาศาสตร์การกีฬา วิเคราะห์ชัดทุกจังหวะ “ตะวันฉาย พีเค.แสนชัย” ขาหักจากเกมคิกบ็อกซิ่ง ไม่ใช่แค่แพ้น็อก แต่คือแรงสะสม–จุดตาย–แท็กติกที่พาไปถึงจุดเปราะบางที่สุดของนักมวย
สร้างความช็อกให้แฟนมวยทั่วประเทศ สำหรับไฟต์คู่เอกศึก ONE ลุมพินี 137 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม 2568 ระหว่าง “ตะวันฉาย พีเค.แสนชัย” ยอดมวยซูเปอร์สตาร์ชาวไทย กับ หลิว เมิงหยาง นักชกชาวจีน ในกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต ซึ่งจบลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ยกแรก หลังตะวันฉายถูกเตะเจาะยางจนได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นกระดูกร้าวหรือขาหัก และไม่สามารถชกต่อได้
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างความตกใจในเชิงผลการแข่งขัน แต่ยังทำให้เกิดคำถามใหญ่ตามมาว่า การเตะที่ดูไม่รุนแรงนัก แต่เกิดซ้ำเพียงไม่กี่ครั้ง เหตุใดจึงส่งผลร้ายแรงถึงขั้น “ขาหัก” และอาการบาดเจ็บนี้จะกระทบเส้นทางนักชกของตะวันฉายมากน้อยเพียงใด
ในมุมมองของวิทยาศาสตร์การกีฬา อาการบาดเจ็บของตะวันฉายเข้าข่าย “ความเสียหายจากการล้า” ของกระดูก ซึ่งเกิดจากแรงปะทะซ้ำๆ ที่จุดเดิม ทำให้เกิดรอยร้าวขนาดเล็กภายในกระดูก ก่อนจะลุกลามจนโครงสร้างไม่สามารถรับแรงได้อีกต่อไป โดยเฉพาะจังหวะแรกที่ขาหน้าลงน้ำหนักเต็มที่ และถูกเตะสวนในจังหวะบวก ส่งผลให้แรงกระแทกทวีคูณขึ้นอย่างรุนแรง
ล่าสุดเพจ อาสาสมัคร นักวิทย์กีฬา ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยวิเคราะห์ว่า
#ตะวันฉายถูกเตะขาหักได้อย่างไร? #มุมมองวิทยาศาสตร์การกีฬา
ข่าวช็อคแฟนมวย ศึก ONE ลุมพินี 137 คู่เอกระหว่าง ตะวันฉาย พีเคแสนชัย พบกับ หลิว เมิงหยาง นักชกชาวจีน ในกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต เมื่อคืนนี้ วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม 2568
ตะวันฉายแพ้น็อก (TKO) ไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่ยกแรก (นาทีที่ 0:52) จากการโดนเตะเจาะยางที่แข้งด้านในของขาขวา (ขาหน้า) จนกระดูกร้าว/หัก ไม่สามารถทำการชกต่อได้
ในมุมมองของวิทยาศาสตร์การกีฬาและวัสดุศาสตร์ (Material Science) การหักของกระดูกในลักษณะนี้เรียกว่า “Fatigue Failure” (ความเสียหายจากการล้า) ผสมกับ “Shear Force” (แรงเฉือน) ครับ ขอวิเคราะห์เจาะลึก 4 ปัจจัยที่ทำให้การเตะที่ดูเหมือนไม่แรงแต่บ่อย กลายเป็น “หายนะ” ได้ครับ:
1. ทฤษฎี “รอยร้าวที่มองไม่เห็น” (Micro-trauma Propagation)
นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้การเตะครั้งที่ 2 และ 3 ดูไม่แรงแต่ส่งผลรุนแรงที่สุดครับ
โดนเตะครั้งที่ 1 (จังหวะบวก/ขาตาย): จังหวะนี้สำคัญที่สุด เป็นตัวเริ่มของการร้าวและหักครับ แม้ตะวันฉายจะดูเหมือนไม่เจ็บ แต่แรงปะทะตอนที่ขายืนรับน้ำหนัก (Compression) อาจทำให้เกิด “Micro-fracture” (รอยร้าวเล็กระดับไมโคร) ที่เนื้อกระดูก หรือเกิดรอยร้าวที่ผิวชั้นนอก (Periosteum) แล้ว
เปรียบเทียบ: เหมือนเราเอาค้อนทุบ “กระเบื้อง” ครั้งแรกมันอาจจะไม่แตกแยกชิ้น แต่มันเกิดรอยร้าวภายในแล้ว โครงสร้างความแข็งแรงอาจลดลงจาก 100% เหลือ 50% ได้ทันที
โดนเตะครั้งที่ 2 : เป็นเวลาที่ติดๆ กันกับครั้งแรกมาก นี่คือการขยายผลให้เกิดรอยร้าวจากครั้งแรก และลดความแข็งแรงของโครงสร้างลงอย่างมาก
โดนเตะครั้งที่ 3: เมื่อโครงสร้างมีรอยร้าว การเตะซ้ำที่เดิม (แม้จะเบากว่า) คือการ “ขยายปากแผล” ครับ แรงสั่นสะเทือนจะวิ่งไปรวมที่จุดร้าว (Stress Concentration) ทำให้รอยร้าววิ่งลามจนกระดูกแยกออกจากกันในที่สุด
2. ปรากฏการณ์ “แรงเฉือน” ในอากาศ (Shear Force & Bending Moment)
จาการสังเกต จะเห็นว่าครั้งหลังๆ ตะวันฉายยกขายกบัง (Check) แต่ทำไมยังหัก? คำตอบอยู่ที่ “มุมที่โดน” และ “ฟิสิกส์ของการดัด” ครับ
กระดูกแข็งแรงในแนวตั้ง แต่อ่อนแอในแนวนอน: กระดูกหน้าแข้ง (Tibia) ถูกออกแบบมารับน้ำหนักตัวในแนวดิ่ง (Compression) ได้ดีมหาศาล แต่จะเปราะบางเมื่อโดนแรงกระทำทางด้านข้าง (Tension/Shear)
การหักเหมือน “หักไม้แห้ง”:
– เมื่อตะวันฉายยกขาขึ้น ขาของเขากลายเป็นคานงัด (Lever) ที่มีจุดหมุนอยู่ที่หัวเข่า
– การเตะของคู่ต่อสู้เข้าที่ “กึ่งกลางหน้าแข้งด้านใน” ในขณะที่ปลายเท้าลอยอยู่
– แรงเตะทำให้เกิด Bending Moment (โมเมนต์การดัด) คือ ส่วนบน (เข่า) และส่วนล่าง (ข้อเท้า) พยายามจะอยู่นิ่งด้วยความเฉื่อย แต่ตรงกลางถูกแรงกระแทกเข้าไป ทำให้กระดูกเกิดการ “งอ” (Bending) จนเกินจุด Elastic Limit และหักกลาง (เหมือนเราหักไม้ฟืนด้วยการจับสองข้างแล้วเอาเข่ากระแทกตรงกลาง)
– เมื่อส่วนนั้นมีรอยร้าวภายในที่พร้อมจะหัก แม้มีแรงมากระแทกเบากว่าครั้งแรกๆ ก็ทำให้หักได้
3. จุดปะทะคือ “ด้านใน” ไม่ใช่ “สันแข้ง”
นี่คือจุดตายครับ ในคลิป การเตะ Kickboxing ลูกเตะนั้นเข้าที่ “หน้าแข้งด้านใน” (Medial Surface of Tibia) ของตะวันฉาย
ในทางกายวิภาคศาสตร์ หน้าแข้งด้านในเป็นส่วนที่กระดูกแบนและ “ไม่มีกล้ามเนื้อหุ้ม” (ลองจับขาตัวเองดูครับ ด้านในจะเป็นหนังติดกระดูกเลย)
เมื่อบริเวณนั้น ไม่มีกล้ามเนื้อมาช่วยซับแรง (Shock Absorption) แรงทั้งหมด 100% ถูกส่งเข้าสู่เนื้อกระดูกโดยตรง ยิ่งโดนซ้ำที่เดิม 3 ครั้ง กระดูกบริเวณนั้นจึงรับภาระเกินขีดจำกัด (Overload) ผลลัพธ์จึงทำให้เกิดรอยร้าวและหักได้จากการปะทะโดยตรง
4. ภาวะสะสมจากการฝึกซ้อม (Stress Fracture History)
นักมวยระดับแชมป์มักจะมี Stress Fracture (กระดูกล้า) สะสมอยู่แล้วจากการซ้อมหนัก กระดูกนักมวยจะมีความหนาแน่นสูง (ตามหลักของ Wolff’s Law กระดูกยิ่งมีแรงกดมากยิ่งแข็งแรงขึ้น แรงกดลดลงอ่อนแอลง) แต่ก็มีความกรอบ (Brittle) ในบางจุดจากการกระแทกซ้ำๆ ได้เช่นกัน
มีความเป็นไปได้ที่ตะวันฉายอาจจะมีอาการเจ็บเล็กๆ น้อยๆ หรือ “รอยช้ำในกระดูก” (Bone Bruise) อยู่บ้างแล้วในตำแหน่งนั้น เมื่อโดนกระตุ้นซ้ำในการชกจริง จึงทำให้จุดที่เปราะบางที่สุดแตกหักง่ายกว่าคนปกติ
สรุปภาพรวม: การหักครั้งนี้เกิดจาก “จังหวะแรกเปิดแผล (สร้างรอยร้าว) + จังหวะสองและสามคือการหักไม้ (แรงดัดในขณะที่ขายกลอย)” ครับ
มันคือโศกนาฏกรรมทางจังหวะที่ลงล็อกพอดีเป๊ะ (Perfect Storm) คู่ต่อสู้เตะเข้า “จุดโฟกัสเดิม” (Sweet Spot) ทั้ง 3 ครั้ง ซึ่งในทางฟิสิกส์ การกระแทกจุดเดิมซ้ำๆ จะทำให้ค่าความทนทานของวัสดุลบฮวบลงแบบ Exponential (ทวีคูณ)
.
ทีนี้เราลองมา #วิเคราะห์ในทางเทคนิคของมวย ดูบ้างครับ
1. จุดบอดของการ “ยืนมวย” (Stance) :
นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดครับ ตะวันฉายเป็นยอดมวยไทย แต่เมื่อมาชกในกติกาคิกบ็อกซิ่ง การยืนมวยจะต่างกัน
> มวยไทย: การยืนจะทิ้งน้ำหนักไปข้างหลัง (เท้าหน้าเบา) เพื่อเตรียมยกบังแข้ง (Check) ได้ตลอดเวลา
> คิกบ็อกซิ่ง: นักมวยมักจะต้องออกหมัดชุดให้ได้มาก การยืนจึงต้องทิ้งน้ำหนักมาข้างหน้ามากกว่าเพื่อออกหมัดได้ถนัด ซึ่งทำให้จังหวะยกขาบังอาวุธ (Check) ทำได้ช้ากว่ามวยไทยเสี้ยววินาที
โดย หลิว เมิงหยาง แก้ทางมาดีมาก เขาเล็งเห็นว่าตะวันฉายมักจะวางขาหน้าเพื่อเตรียมบวกหมัดหรือเตะซ้ายคืน เขาจึงเลือกใช้ “Low Kick” (เตะเจาะยาง) ที่รุนแรงและแม่นยำเข้าที่ด้านในแข้ง (Inner Thigh/Calf) ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่กล้ามเนื้อน้อยและเจ็บปวดที่สุดจุดหนึ่ง หากโดนจังๆ ซ้ำที่เดิม กระดูกหน้าแข้งหรือน่องสามารถหักได้จริงครับ
2. จังหวะ “บวก” (Counter) ที่ผิดพลาด
ในจังหวะแรกที่โดน ตะวันฉายพยายามจะขยับเข้าไปออกอาวุธ ซึ่งเป็นจังหวะที่ “ขาตาย” (น้ำหนักลงที่ขาหน้าเต็มที่เพื่อส่งแรง) เมื่อโดนเตะสวน (Counter) เข้ามาในจังหวะที่กล้ามเนื้อและกระดูกกำลังรับน้ำหนัก แรงปะทะจะทวีคูณครับ เหมือนเอาไม้แข็งๆ ไปฟาดขาโต๊ะที่กำลังรับน้ำหนักอยู่ จึงทำให้เกิดจุดเริ่มของรอยร้าวได้ง่ายกว่าตอนยืนปกติ
3. คู่ต่อสู้ที่ “ทำการบ้าน” มาดีและ “กระดูกแข็ง”
ต้องชม หลิว เมิงหยาง ด้วยครับ เขาเป็นนักชกคิกบ็อกซิ่งธรรมชาติที่กระดูกแข็งมาก การเตะของเขาไม่ได้เตะแบบสะเปะสะปะ แต่เป็นการเตะแบบ “สับ” (Chop) ลงไปที่จุดเดิมซ้ำๆ (ย้ำแผลเดิม) ซึ่งเป็นแท็กติกพื้นฐานแต่โหดที่สุดในการหยุดมวยฝีมืออย่างตะวันฉายครับ
4. ผลกระทบต่ออนาคต (Post-Fight Analysis)
อาการ “ขาหัก” (Tibia/Fibula Fracture) สำหรับนักมวยถือเป็นเรื่องใหญ่มากครับ:
#การพักฟื้น: โดยปกติอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นอย่างน้อย 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรง (ถ้าหัก 2 ท่อนจริงตามข่าว)
#จิตใจ: สิ่งที่น่าห่วงกว่าร่างกายคือสภาพจิตใจครับ การบาดเจ็บลักษณะนี้อาจทำให้เกิดความระแวง (PTSD – Post-Traumatic Stress Disorder) ไม่กล้าใช้ขาข้างนั้นเต็มที่ หรือไม่กล้าปะทะหนักๆ อีก ซึ่งอาจส่งผลต่อฟอร์มการชกในระยะยาว

ในทางวิทยาศาสตร์การกีฬาและศัลยกรรมกระดูก ลักษณะที่ตะวันฉายประสบอยู่เรียกว่า “Stable Fracture” หรือ “Non-displaced Fracture” (การหักแบบกระดูกไม่เคลื่อน) ครับ
แม้พี่ชายของเขาจะใช้คำว่า “หัก 2 ท่อน” แต่ในแง่ของภาพที่ปรากฏในคลิป มันมีเหตุผลรองรับครับว่าทำไมขาถึงยังอยู่ในแนวตรงและไม่ผิดรูปพับไปพับมาเหมือนที่เราเคยเห็นในเคสอื่นก่อนหน้านั้น
1. มีกระดูก “คู่ขนาน” ช่วยพยุง (Tibia & Fibula)
ขาท่อนล่างของคนเรามีกระดูก 2 แท่งครับ:
Tibia (กระดูกหน้าแข้ง): แท่งใหญ่ที่รับน้ำหนัก 90% (นี่คือแท่งที่หัก)
Fibula (กระดูกน่อง): แท่งเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง ในกรณีที่หักเพียงแท่งเดียว (ส่วนใหญ่คือ Tibia) กระดูก Fibula ที่ยังไม่หักจะทำหน้าที่เป็น “ไม้ค้ำยันธรรมชาติ” ช่วยรักษาโครงสร้างขาให้ยังคงรูปทรงตรงอยู่ได้ ไม่พับห้อยลงมาครับ
2. แรงตึงของ “เยื่อหุ้มกระดูกและกล้ามเนื้อ” (Soft Tissue Integrity)
แม้กระดูกจะขาดออกจากกันเป็น 2 ท่อน (Complete Fracture) แต่สิ่งที่รัดมันไว้ให้ยังเรียงตัวตรงคือ:
Periosteum (เยื่อหุ้มกระดูก): หากเยื่อนี้ยังไม่ฉีกขาดออกจากกันทั้งหมด มันจะทำหน้าที่เหมือนเทปกาวที่พันท่อนไม้ที่หักไว้ไม่ให้แยกออกจากกัน
Compartment Muscles: กล้ามเนื้อรอบๆ ขาของนักมวยมีความแข็งแรงและตึงมาก แรงตึงนี้ช่วยประคอง (Splinting) กระดูกที่หักให้ยังอยู่ในแนวเดิม
3. ทำไมถึงยืนไม่ได้? (Loss of Structural Integrity)
สาเหตุที่ตะวันฉายลุกขึ้นไม่ได้ ทั้งที่ขาดูตรง เป็นเพราะ “กระดูกไม่สามารถรับแรงอัด (Compression) ได้อีกต่อไป”
เมื่อเขามีความพยายามจะลงน้ำหนัก แรงกดจากน้ำหนักตัวจะทำให้ปลายกระดูกที่หัก “เกย” หรือ “ทิ่ม” เข้าใส่กันและกดทับเส้นประสาทรอบๆ อย่างรุนแรง สมองจะสั่งการให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงทันที (Inhibition) เพื่อป้องกันความเสียหายที่มากกว่าเดิม
4. หักแบบ “กิ่งไม้สด” หรือ “รอยร้าวรุนแรง”
มีลักษณะหนึ่งที่เรียกว่า Hairline Fracture หรือ Stress Fracture ที่รุนแรงจนกลายเป็น Transverse Fracture (หักขวาง)
หากเป็นการหักขวางที่เรียบสวยงาม กระดูกจะยังวางซ้อนกันอยู่ได้ในแนวเดิมเป๊ะๆ ทำให้มองจากภายนอกไม่รู้เลยว่าหัก จนกว่าจะเข้าเครื่อง X-ray ครับ
วิเคราะห์กรณีของตะวันฉาย น่าจะเป็นการหักแบบ Complete Fracture (หักขาดเป็นสองท่อน) ตามข่าว แต่เป็นแบบ Non-displaced (ไม่เคลื่อนที่) คือกระดูกยังเรียงตัวตรงกันอยู่ ซึ่งถือเป็นโชคดีในโชคร้ายครับ เพราะ
– รักษาทิศทางง่าย: หมอไม่ต้อง “ดึงกระดูก” ให้เข้าที่มากนัก
– เส้นเลือดไม่เสียหาย: ปลายกระดูกที่แหลมคมไม่ได้เคลื่อนไปตัดเส้นเลือดใหญ่หรือเส้นประสาท
– ฟื้นตัวเร็วกว่า: การเชื่อมต่อของแคลเซียมจะทำได้เร็วกว่าการหักแบบผิดรูป (Displaced)
การที่ขาดูตรงแต่เจ้าตัวรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดและยืนไม่ได้ นั่นคือสัญญาณเตือนของร่างกายที่ชัดเจนที่สุดแล้วครับว่าโครงสร้างหลัก “หัก” ออกจากกันแล้ว
คุณรู้สึกไหมครับว่า เคสนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญมากสำหรับนักมวยไทยที่ข้ามสายไปชกคิกบ็อกซิ่ง ว่าการป้องกันขา (Leg Defense) ในกติกาที่หมัดหนักและต่อเนื่องแบบนี้ สำคัญไม่แพ้การออกอาวุธเลยครับ
แต่ทั้งหมดนี้ ก็ไม่เกินวิสัยของการรักษาฟื้นฟูเยียวยาได้ด้วยการแพทย์และหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา เชื่อมั่นว่าตะวันฉายจะได้รับการรักษา และฟื้นฟูเยียวยาทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กลับมาเป็นปกติและแข็งแกร่งได้กว่าเดิมอีกครับ
เรายินดีสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ครับ
**สรุป**
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะตะวันฉายไม่เก่ง แต่เกิดจาก “อุบัติเหตุในเกมกีฬา” ผสมกับ “แท็กติกที่โหดแม่นและเหนือชั้นของคู่แข่ง” ที่เจาะจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ที่ต้องเปลี่ยนกติกาจากมวยไทยเป็นคิกบ็อกซิ่ง ได้ถูกจุดครับ แฟนมวยคงต้องส่งกำลังใจให้น้องกัน ตะวันฉาย หายไวๆ เพราะนี่คือบททดสอบที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตการชกบนสังเวียนผ้าใบของเขาเลยครับ อย่างไรเราก็ยังเชื่อมั่นในตัวกันน้องชายคนนี้เสมอครับ
สู้ครับส่งกำลังใจให้เสมอครับ
พี่พงศ์นักวิทย์กีฬาสายทรีท
