ใครชอบกินหวานฟังทางนี้ “น้ำตาลเทียม” ทางเลือกของคนชอบกินหวาน! แต่อยากดูแลสุขภาพ ตัวช่วยให้น้ำตาลในเลือดไม่สูง มีอะไรบ้างมาดูเลย
มาเอาใจคนชอบกินหวานกันบ้าง! บอกเลยว่างานนี้ถูกใจแน่นอน เพราะหลายๆ คนชอบกินหวานกันมากเรียกได้ว่า ไม่หวานไม่กินเลยทีเดียว ซึ่งการกินหวานมากๆ อย่างที่เรารู้กันนั้น จะส่งผลต่อระบบในร่างกายของเราเป็นอย่างมาก จนทำให้เกิดโรคยอดฮิตอย่าง โรคเบาหวานได้เลยทีเดียว ซึ่งนวัตกรรมทางอาหารสมัยนี้พัฒนาไปเยอะเลย ช่วยทานอาหารสนุกขึ้น วันนี้พามารู้จัก น้ำตาลเทียม! มาดูกันเลยว่ามันคืออะไร แล้วมันดีอย่างไร

น้ำตาลเทียมคืออะไร?
น้ำตาลเทียม คือกลุ่มของสารให้ความหวานเพื่อทดแทนน้ำตาล มีรสชาติหวานคล้ายน้ำตาลแต่มีพลังงานต่ำหรืออาจไม่ให้พลังงานเลยขึ้นอยู่กับแต่ละชนิด จึงได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นทางเลือกให้คนที่รักษาสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุมแคลอรี น้ำตาลเทียมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ
ประเภทของน้ำตาลเทียม
1. แอสพาร์เทม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น ครีมเทียม หมากฝรั่ง ซีเรียล ขนมหวาน เครื่องดื่ม และผลไม้แห้ง เป็นต้น ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 40-50 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
- ข้อดี ไม่ทำให้เกิดภาวะฟันผุ และไม่กระตุ้นน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้น เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
- ข้อเสีย เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมื่อเจอความร้อนสูงทำให้เกิดรสขมและความหวานลดลง ไม่ควรใช้ปรุงอาหารขณะร้อน
- ข้อควรระวัง ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะฟีนิลคีโตนยูเรีย (phenylketonuria) ดังนั้นให้สังเกตฉลากที่แสดงข้อความว่า“มีphenylalanine” และแสดงคำเตือน “ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะฟีนิลคีโตนยูเรีย”
2. แซ็กคาริน (Saccharin) หรือขัณฑสกร เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น เครื่องดื่มหรือผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนผสม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่แต่งกลิ่นรส ผลไม้ดอง ไอศกรีม ขนมหวาน และหมากฝรั่ง เป็นต้น ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
- ข้อดี ทนต่อความร้อนสูงได้
- ข้อเสีย การได้รับแซ็กคารินในปริมาณสูงอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินท้องเสีย ปวดท้อง มีอาการง่วงซึม และอาจชักได้ ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้แซ็กคาริน
- ข้อควรระวัง ระวังการใช้ในสตรีมีครรภ์
3. แอซีซัลเฟม โพแทสเซียม (Acesulfame potassium) เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น อาหารประเภทของอบ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ของหวานที่แช่แข็งหรือแช่ตู้เย็น ซอสรสหวานต่างๆ และน้ำตาลโรยหน้าขนม เป็นต้น ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
- ข้อดี ไม่เกิดการสะสมในร่างกาย ถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วและกำจัดออกมาในรูปเดิม สามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และผู้ป่วย phenylketonuria
4. ซูคราโลส (Sucralose) มีความหวานใกล้เคียงกับน้ำตาลธรรมชาติ อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น ไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว ซอส ลูกกวาด แยม และอาหารกระป๋อง เป็นต้น ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
- ข้อดี คงตัวดี ทนต่อความร้อนสูง ไม่ดูดความชื้น ละลายน้ำได้ดี ไม่มีรสขมติดลิ้น ใช้ปรุงอาหารและขนมทุกชนิดที่ต้องใช้ความร้อนสูงและไม่สูญเสียความหวาน
- ข้อเสีย อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ในบางคน
5. นีโอแทม (Neotame) ใน 1 วัน ไม่ควรรับประทานเกิน 2 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะให้ความหวานมากกว่าสารตัวอื่น ๆ โดยให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 800-1300 เท่า
- ข้อดี ใช้กับอาหารและเครื่องดื่มได้ทุกประเภท
ทั้งนี้เราสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลด้วยการอ่านข้อมูลบนฉลากโภชนาการเวลาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารตามร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตได้ โดยสังเกตปริมาณของน้ำตาล ซึ่งไม่ควรสูงเกิน 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค แต่ในบางบรรจุภัณฑ์อาจระบุข้อความอื่น เช่น “Sugar Free” คือ ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำตาล หรือมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค หรือมีรสหวานจากสารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน (0 แคลอรี) หรือ “Non-nutritive sweetener” คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ หรือน้ำตาลเทียมนั่นเอง
แหล่งที่มา oryor
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่นๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY