เตือนภัย! 3 พฤติกรรมเสี่ยง ควรเลี่ยงถ้าไม่อยากเป็น “นิ่วในถุงน้ำดี” โรคที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง การอักเสบของตับอ่อน
หลายๆ คนคงเคยได้ยินโรคนี้กันมาบ้าง “นิ่วในถุงน้ำดี” เกิดได้จากพันธุกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่าผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีส่วนใหญ่มีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมที่ทำอยู่ สาเหตุจากพันธุกรรมมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แล้วอะไรเป็น พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรเลี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีบ้างมาดูเลย

3 พฤติกรรมเสี่ยง! ควรเลี่ยงถ้าไม่อยากเป็น “นิ่วในถุงน้ำดี”
นิยมรับประทานอาหารไขมันสูง
- เมนูอาหารที่อร่อยๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหมูติดมัน หมูกระทะที่เราชอบแวะเวียนไปรับประทานกันบ่อยๆ ส่วนหนึ่งมาจากส่วนประกอบที่เป็นไขมัน เพราะไขมันจะช่วยให้อาหารกลมกล่อมและนุ่มขึ้น น้ำดีก็มีหน้าที่หลักทำให้ไขมันแตกตัวง่ายต่อการย่อยด้วยน้ำย่อย ซึ่งการที่เรารับประทานอาหารไขมันสูง เส้นใยอาหารต่ำ ทำให้เกิดการสะสมไขมันและคลอเรสเตอรอลในร่างกาย การย่อยไขมันไม่สมบูรณ์ เกิดการสะสม และเมื่อสะสมเป็นเวลานานอาการนิ่วในถุงน้ำดีจะเกิดแน่นอน
ปล่อยตัวเองให้อ้วน
- ความอ้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในน้ำดีเพิ่มขึ้น ดังนั้น ไม่ควรปล่อยให้ตนเองเข้าสู่ภาวะอ้วน หากรู้ว่ากำลังเข้าสู่ภาวะอ้วน ให้เลือกวิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง โดยการรับประทานอาหารประเทศกากใยเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผัก หรือผลไม้ ควรค่อยๆ ลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักโหมจนน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ การที่เราพยายามลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ จะทำให้ตับหลั่งคอเลสเตอรอลออกมามากขึ้น รวมถึงถุงน้ำดีจะบีบตัวลดน้อยลง น้ำดีจึงค้างอยู่ในถุงน้ำดีนานขึ้น โอกาสเกิดการตกตะกอนก็มากขึ้น รวมถึงการรับประทานยาลดไขมันบางชนิดก็เป็นปัจจัยเสี่ยง
ขาดการออกกำลังกาย
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ซึ่งนั่นจะช่วยลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้น คนที่ขาดการออกกำลังกายจึงมีความเสี่ยงมากกว่าคนที่ออกกำลังกาย และเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะโรคเบาหวาน เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะมีระดับของไขมันทั้งคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น (Triglyceride เป็นไขมันอีกชนิดที่เพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี) และถุงน้ำดีจะมีการบีบตัวน้อยในผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น ใครรู้ตัวว่าตนเองมีความเสี่ยงโรคนิ่วในถุงน้ำ ก็ควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเป็นการป้องกัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย เช่น ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องนานๆ หรือทานฮอร์โมนทดแทนนานเกินไป เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนและการตั้งครรภ์ มีผลเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลและลดการเคลื่อนตัวของถุงน้ำดีเช่นกัน
แหล่งที่มา paolohospital
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่นๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY