เตือน 14 โรคควรระวัง! คนที่ชอบเที่ยว ชอบเดินทาง ไป ต่างประเทศ-นั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน และวิธีการเตรียมตัวก่อนขึ้นเครื่อง
ช่วงนี้จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคักแล้ว หลายๆ คนก็คงวางแผน วางทริป กันไว้แล้วใช่ไหม ซึ่งก่อนเดินทางต้องเราก็อย่าลืมนึกถึงสุขภาพกันด้วย วันนี้จึงมาเตือน 14 โรคควรระวัง! คนที่ชอบเที่ยว ชอบเดินทางไปต่างประเทศ-นั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน และวิธีการเตรียมตัวก่อนขึ้นเครื่อง

14 โรคที่ควรระวังเมื่อต้องเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นเวลานาน
- โรคหัวใจ
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) หรือโรคหัวใจล้มเหลว (Congestive heart failure) ควรตรวจร่างกาย โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย หรือไม่มีหัวใจเต้นผิดปกติ อย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนโดยสารเครื่องบิน หากมีความจำเป็นสามารถเดินทางหลังมีอาการ 2-3 สัปดาห์ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์และต้องแจ้งสายการบิน เพื่อเตรียมเครื่องมือในกรณีจำเป็น
- ผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery bypass grafting)
เนื่องจากการผ่าตัดอาจเกิดอากาศในโพรงช่องหน้าอก จึงควรรอให้อากาศถูกดูดซึมไปหมดก่อน หรือภายใน 2 สัปดาห์ภายหลังผ่าตัด และควรเตรียมยาไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง ให้เพียงพอในการเดินทาง ทั้งนี้ควรเขียนรายละอียดและวิธีใช้ยาแต่ละชนิดเก็บไว้เผื่อจำเป็นต้องซื้อใหม่ กรณียาสูญหาย
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง สามารถขึ้นเครื่องบินได้ โดยควบคุมความดันโลหิตด้วยการรับประทานยา และควรเตรียมยาให้พร้อมและเพียงพอกับระยะเวลาเดินทาง
- โรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Venous thrombosis)
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis) มักเกิดขึ้นบริเวณขา และภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism) เกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดที่อุดกั้นหลุดไปตามกระแสเลือดและไปอุดตันบริเวณหลอดเลือดดำในปอด ซึ่งผู้โดยสารเครื่องบินมักประสบปัญหา ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำภายในกล้ามเนื้อน่อง การศึกษาของ WHO พบว่าความเสี่ยงของภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ เพิ่มขึ้น 2 ถึง 3 เท่าหลังจากโดยสารเที่ยวบินระยะไกลนานกว่า 4 ชั่วโมง
- โรคหืด (Asthma)
กรณีอาการรุนแรงไม่สามารถควบคุม หรือเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ควรงดการเดินทางด้วยเครื่องบิน หากอาการไม่รุนแรงควรมียาติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วยโดยเฉพาะยาชนิดพ่น
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease)
ผู้ป่วยมักมีอาการเมื่ออยู่ในภาวะพร่องออกซิเจน ดังนั้นจึงควรพกยาขยายหลอดลม และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเพื่อเตรียมอุปกรณ์กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
- โรคลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pneumothorax) คือภาวะที่มีลมค้างในช่องเยื่อหุ้มปอด
ส่งผลให้กระบวนการหายใจผิดปกติ หากมีความจำเป็นต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ควรพบแพทย์เพื่อใส่ท่อระบายลมออกจากปอด หลังจากนั้นต้องรอให้ปอดขยายตัวเต็มที่อย่างน้อย 7 วัน โดยการเอกซเรย์ปอด หรือ คอมพิวเตอร์เอกซเรย์ ก่อนเดินทาง
- โรคติดเชื้อ (Infectious disease)
สามารถแพร่เชื้อหรือติดต่อไปยังผู้อื่น ห้ามเดินทางโดยเครื่องบิน เนื่องจากการแพร่เชื้ออาจเกิดขึ้นระหว่างผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันของเครื่องบิน ซึ่งมักเกิดจากการไอหรือจามของบุคคลที่ติดเชื้อหรือโดยการสัมผัส เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ผู้ป่วยควรชะลอการเดินทางจนกว่าจะหายดี
- โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease)
ภาวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อการส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ได้แก่ ภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Transient ischemic attack) ภาวะเลือดออกในสมอง (Intracerebral hemorrhage) และภาวะหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก (Stroke) ซึ่งส่งผลให้เซลล์สมองได้รับออกซิเจนน้อยลง เมื่อขึ้นเครื่องบินซึ่งมีภาวะพร่องออกซิเจน อาจส่งผลให้อาการกำเริบ ดังนั้นก่อนเดินทางควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับยา รวมถึงข้อควรปฏิบัติขณะอยู่บนเครื่องบิน โดยอาการต้องคงที่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง
- โรคลมชัก (Epilepsy)
โรคลมชัก มีโอกาสชักได้ง่ายขึ้นในภาวะพร่องออกซิเจน เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย วิตกกังวล และการเปลี่ยนแปลงของเวลา ควรพบแพทย์เพื่อเตรียมยาหรืออาจเพิ่มขนาดของยา ขึ้นกับความสามารถในการควบคุมโรค และไม่ควรเดินทางหลังจากชักหมดสติ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- โรคโลหิตจาง (Anemia)
ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้นำออกซิเจนไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้น้อยลง ซึ่งเสี่ยงอันตรายจากภาวะพร่องออกซิเจนบนเครื่องบิน กรณีมีความเข้มข้ของฮีโมโกลบินต่ำกว่า 10 กรัม/เดซิลิตร ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และไม่ควรขึ้นเครื่องบินหากค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 7.5 กรัม/เดซิลิตร
- โรคเบาหวาน (Diabetes)
แม้สภาพภายในห้องโดยสารเครื่องบินจะไม่ส่งผลอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวาน แต่การบินข้ามเวลา อาจทำให้ผู้ป่วยสับสนในการรับประทานอาหารและยา รวมถึงประเภทของอาหารที่อาจส่งผลกระทบต่อโรค ผู้ป่วยควรติดต่อขอให้สายการบินจัดเตรียมอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และนำยาติดตัวขึ้นเครื่องบิน ทั้งยารับประทาน และยาฉีด พร้อมอุปกรณ์ สำหรับการรับประทานยาให้ยึดเวลาต้นทาง แล้วค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเวลาใหม่
- โรคทางจิตเวช (Psychiatric disorders)
ก่อนเดินทางด้วยเครื่องบินต้องได้รับคำรับรองจากแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าอาการสงบ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและผู้โดยสารอื่น ๆ แพทย์อาจสั่งยาระงับประสาทหรือยานอนหลับ สำหรับใช้ระหว่างการเดินทาง
- ผู้ป่วยผ่าตัด
การผ่าตัดหรือการบาดเจ็บที่อาจมีอากาศหรือก๊าซหลงเหลืออยู่ เช่น การผ่าตัดช่องท้องและทางเดินอาหาร การผ่าตัดกะโหลกศีรษะและใบหน้า รวมถึงการผ่าตัดตาที่เกี่ยวข้องกับลูกตา ผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษา ว่าควรรอนานแค่ไหนก่อนที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน
การเตรียมตัวก่อนขึ้นเครื่องบินระยะไกล
- พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนวันเดินทาง และหาโอกาสพักผ่อนระหว่างเที่ยวบินโดยการงีบสั้นๆ (น้อยกว่า 40 นาที) ก็ช่วยได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- เลือกระยะเวลาการเดินทางที่เหมาะสม เช่น กรณีที่ใช้เวลาเดินทางนานกว่า 12 ชั่วโมง ควรเลือกใช้เที่ยวบินต่อ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับเวลา รวมถึงได้ออกไปยืดเส้นยืดสาย และผ่อนคลาย
- เลือกเที่ยวบินที่สอดคล้องกับเวลานอน
- เตรียมสิ่งของจำเป็นระหว่างเดินทางติดตัว โดยเฉพาะยารักษาโรคให้เพียงพอกับระยะเวลาบนเครื่องบิน
- สวมเสื้อผ้าที่สบาย ไม่อึดอัด ขณะอยู่บนเครื่องบิน รวมถึงเตรียมชุดที่เหมาะกับสภาพอากาศปลายทาง
- ตรวจเช็กสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หากมีโรคประจำตัวควรพบแพทย์เพื่อปรึกษา เพื่อเตรียมร่างกาย ยา และข้อควรปฏิบัติกรณีอาการกำเริบ หรือมีเหตุฉุกเฉิน
- องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ห้องโดยสารหรือไปเข้าห้องน้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ในระหว่างเที่ยวบินยาวๆ เพื่อลดภาวะภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำที่ขา รวมถึงแนะนำว่าไม่ควรวางกระเป๋าถือไว้ในที่ที่จำกัดการเคลื่อนไหวของขาและเท้า
- กรณีมีภาวะเมาอากาศ ควรขอที่นั่งตรงกลางห้องโดยสารและเก็บกระเป๋าที่มีอุปกรณ์แก้เมา เช่น ยารับประทาน ยาดม ไว้ในที่ที่หยิบได้ง่าย หรือ เก็บไว้ในแต่ละที่นั่งซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่าย
- รับประทานอาหารว่างแต่น้อย และจำกัดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนัก 4-6 ชั่วโมง ก่อนการนอนหลับบนเครื่องบิน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากถึงปลายทาง การนอนหลับอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้นาฬิกาภายในของร่างกายปรับให้เข้ากับเขตเวลาใหม่
การเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินระยะไกลสำหรับผู้ป่วย
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์ก่อนเดินทาง และเตรียมยาประจำตัวพกพาในกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องบิน กรณี ใช้ข้อเทียม ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือต้องมีเครื่องมือแพทย์ขึ้นเครื่อง ต้องมีใบรับรองแพทย์ติดตัว
- ผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาตามตารางเวลาที่เข้มงวด เช่น อินซูลินหรือยาคุมกำเนิด ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ ก่อนการเดินทาง
- ผู้พิการที่ต้องได้รับความช่วยเหลือระหว่างอยู่บนเครื่องควรมีผู้ร่วมเดินทางด้วย และแจ้งต่อสายการบินล่วงหน้า
- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาที่มีอาการคงที่ หรืออาจมีอาการทรุดลงระหว่างเดินทางต้องยื่นเอกสารขออนุมัติการเดินทางกับสายการบิน (MEDIF หรือ Medical Information Form) ก่อนจองที่นั่ง และควรระบุปริมาณออกซิเจนที่ต้องใช้บนเครื่องบิน รวมถึงหากต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ
- เด็กแรกเกิดอายุต่ำกว่า 7 วัน และเด็กคลอดก่อนกำหนดต้องยื่น MEDIF เพื่อขออนุมัติการเดินทาง
- สตรีมีครรภ์ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ อายุครรภ์เกิน 28 สัปดาห์ต้องมีใบรับรองแพทย์บอกกำหนดการคลอด และรับรองความปลอดภัยในการเดิน และไม่ได้รับการอนุมัติให้ขึ้นเครื่องบินเมื่ออายุครรภ์เกิน 36 สัปดาห์
แหล่งที่มา สมิติเวช
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่นๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY