โควิด19 โรคปอดอักเสบอู่ฮั่น ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ ไวรัสโควิด -19 ที่กำลังระบาดที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ตอนกลางของประเทศจีน ตอนนี้ยังกระจายหลายประเทศทั่วโลก ทั้งยังทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 2,700 คน
ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงในเมืองไทย หลังมีผู้ป่วยปกปิดข้อมูลการเดินทางไปประเทศกลุ่มเสียง จนส่งผลกระทบเป็นหางว่าว หลังโรงพยาบาล บี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ ได้ออกประกาศชี้แจงกรณีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 (ว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ.63 ผู้ป่วยชายไทยมาด้วยอาการไข้ ไอ ผู้ป่วยปฏิเสธประวัติการเดินทางไปต่างประเทศ เบื้องต้นได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นปอดอักเสบ และให้รักษาตัวในโรงพยาบาล โดย เช้าวันที่ 24 ก.พ.2563 แพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด ได้เข้าตรวจสอบอาการผู้ป่วยและสอบถามประวัติการเดินทางไปต่างประเทศอีกครั้ง ผู้ป่วยยังคงปฏิเสธ กระทั่งช่วงสาย ผู้ป่วยได้เปิดเผยประวัติว่าได้เดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง จึงได้ย้ายผู้ป่วยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐทันที ขณะที่ผลการตรวจบุคลากรทั้งแพทย์ และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย จำนวน 30 คน ผลตรวจไม่พบเชื้อไวรัส ต้องตรวจซ้ำในช่วง 7-14 วัน
ขณะที่เพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่ง โพสต์ เรื่องราวระบุว่า ปู่ย่าไปเที่ยวญี่ปุ่น ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ปกปิดประวัติการเดินทางทำให้ส่งผลกระทบตามมามากมาย โดยคุณปู่ อายุ 65 ปี กับภรรยา พากันไปเที่ยวฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 16-20 กุมภาพันธ์ 2563 โดยไปกับกรุ๊ปทัวร์ ก่อนทั้งคู่เดินทางกลับไทย เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ โดยสายการบินชื่อดัง เที่ยวบิน ซัปโปโร-กรุงเทพฯ เมื่อมาถึงไทยปู่เป็นไข้และมีอาการไอ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลบี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์. หมอถามประวัติการเดินทางแต่ปู่ปิดบัง ไม่ยอมบอกว่าไปญี่ปุ่นมา หมอวินิจฉัยว่าปู่เป็นปอดอักเสบและให้แอดมิท โดยมีย่ามาดูแล กระทั่งเช้าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ หมอเข้ามาตรวจอาการปู่และถามประวัติการเดินทางอีกครั้ง แต่ปู่ยังยืนยันว่าไม่ได้ไปพื้นที่เสี่ยงมา จนช่วงสายถึงได้ยอมรับว่าเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น ทำให้ย่าถูกตรวจหาเชื้อด้วย และก็พบจริง ๆ ย่ากลายเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 39 ถูกส่งตัวไปรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร ขณะเดียวกันปู่ย่า มีหลาน อายุ 8 ขวบ ที่อยู่ใกล้ชิดปู่ย่า ติดเชื้อเป็นรายที่ 40 ถูกส่งตัวไปที่สถาบันบำราศนราดูร แต่หลานปู่คนดังกล่าว เรียนอยู่โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง และไปโรงเรียนมาแล้ว 1 วัน กรมควบคุมโรค
จึงตรวจสอบพบว่ามีนักเรียนที่เรียนห้องเดียวกัน 30 คน และครู 11 คน ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ให้ไปตรวจหาเชื้อแล้วเก็บตัวอยู่ที่บ้าน 14 วัน ทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องสั่งปิด 14 วัน ถึง9 มีนาคม และยกเลิกการสอบปลายภาค จากนั้นจะร่วมกับกรมควบคุมโรคทำความสะอาดพื้นที่ในโรงเรียน ส่วนพ่อของเด็กทำงานอยู่ที่ธนาคาร ย่านดอนเมือง แม้ตรวจหาเชื้อ แต่เพื่อความปลอดภัยธนาคารจึงให้พ่อหยุดงาน 14 วัน ส่วนธนาคารเองก็ต้องสั่งปิด 3 วัน เพื่อทำความสะอาด อบโอโซนและฆ่าเชื้อกันขนานใหญ่ พนักงานทุกคนก็ต้องไปตรวจหาเชื้อและเฝ้าดูอาการ ในขณะที่สายการบินแอร์เอเชียก็ให้ลูกเรือที่ปฏิบัติงานในเที่ยวบินเดียวกับปู่ย่าหยุดงาน 14 วัน พร้อมนำเครื่องบินไปอบน้ำยาฆ่าเชื้อทันที พร้อมเร่งติดตามผู้โดยสารในเที่ยวบินดังกล่าวและนักท่องเที่ยวในกรุ๊ปทัวร์เดียวกับปู่ย่าให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อโดยด่วน