จากกรณีประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบการดำเนินโครงการเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในการให้เงิน 5,000 บาท ผ่านระบบลงทะเบียนเว็ปไซต์เราไม่ทิ้งกัน ของกระทรวงการคลัง กรณีการเลือกปฏิบัติและข้อมูลเท็จที่ทำให้ประชาชนเสียสิทธิ์ พร้อมทั้งนำรายชื่อช่างตัดผมจำนวน 5 พันคนที่ไม่ได้รับสิทธ์ เข้ายื่นต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น
เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย ซึ่งเป็นผู้ที่รับหนังสือจากทนายรณรงค์ แก้วเพชร บอกว่า จะเร่งนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะส่วนตัวก็ได้รับเรื่องร้องเรียน ประกอบกับการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินเมื่อวาน ผู้ตรวจฯก็ได้มีการปรารภในเรื่องที่ประชาชนเข้าไมถึงข้อมูล ไม่มีโทรศัพท์ในการที่จะลงทะเบียน ระบบผิดพลาดตรงไหน ซึ่งเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ตรงกับปณิธานของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ระบุว่าประชาชนต้องอยู่ได้ต้องได้รับการดูแล โดยที่ผ่านมาหลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 มีปัญหาขาดแคลน หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ หรือนโยบายทำงานที่บ้าน ผู้ตรวจฯก็ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนดังกล่าวและเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาต่อรัฐบาลพร้อมกับติดตามการแก้ไขปัญหาอยู่ตลอดเวลา
โดยคำร้องระบุว่า การที่รัฐบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีผลบังคับใช้แก่ประชาชนชาวไทยทุกคนและทุกพื้นที่ ส่งผลให้ประชาชนทุกคนทุกพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน แต่กลับมีเพียงประชาชนเพียงบางส่วนหรือบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้รับการเยียวยา การที่รัฐพิจารณาเยียวยาเฉพาะกลุ่มบุคคลโดยมิได้คำนึงถึงผลกระทบดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ ข้าฯจึงขอให้ตรวจสอบในประเด็นนี้ หากมีการดำเนินการใดที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
การดำเนินการพิจารณาอนุมัติเงินโครงการเราไม่ทิ้งกันนั้น มีปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่งการนำปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) มาตรวจสอบสถานะของผู้ลงทะเบียนนั้นมีความคลาดเคลื่อนอย่างมาก ทังมีประชาชนไปลงทะเบียนแล้วปรากฏเป็นอาชีพที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่สามารถอธิบายหรือตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลที่คลาดเคลื่อนให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบคลายข้อสงสัยได้ กรณีที่กระทรวงการคลังไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลที่ผิดพลาดได้ ข้าฯขอให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการทำงานของระบบปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) หากพบว่าชุดข้อมูลที่ป้อนให้กับระบบปัญญาประดิษฐ์ (A.I.)นั้นเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ข้าฯขอให้ดำเนินคดีกับกระทรวงการคลังและข้าราชการตลอดจนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1,2)
ขอให้ตรวจสอบต้นทางหรือที่มาของชุดข้อมูลที่ป้อนให้กับระบบปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) ในโครงการเราไม่ทิ้งกันของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องว่ามีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือมีการปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารปลอมหรือไม่ อย่างไร เพราะกระทรวงการคลังนั้นแถลงว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) นั้นไม่มีความคลาดเคลื่อน หากจะคลาดเคลื่อนก็มาจากแหล่งต้นทาง ซึ่งอาจมีการทุจริต
ในกรณีตรวจสอบแล้วพบว่าในการนำเข้าข้อมูลของกระทรวงการคลังนั้นแหล่งต้นทางของข้อมูลมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือมีการปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารปลอมขอให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ,ฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารปลอม,ฐานเจ้าพนักงานจัดทำหรือรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ หากพบว่าเป็นความผิดตามกฎหมายใดหรือทางวินัยให้ทางผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
