ทำเนียบรัฐบาล (24 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานประชุม คสช. ด้มีการหารือเรื่อง มาตราการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการที่สุจริต แต่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสังคมจึงไม่อาจชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนดไปแล้วนั้น
จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้า คสช.
โดยความเห็นชอบของ คสช. จึงมีคำสั่’ดังนี้ ผู้รับใบอนุญาตตามคำสั่ง 76/2559 หรือประกาศรายใดไม่สามารถชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในงวดที่เหลือ ให้ผู้รับใบอนุญาตรายนั้นแจ้งเป็นหนังสือไปยัง สำนักงาน กสทช. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับเพื่อขอพักชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต หรือ ประกาศให้สำนักงาน กสทช.พิจารณาการพักชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต โดยมีกำหนดระยะไม่เกินสามปีนับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน กสทช.
ในระหว่างเวลาพักชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ให้ผู้รับใบอนุญาตชำระดอกเบี้ยในวันที่ครบกำหนดชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในแต่ละงวดให้แก่ สำนักงาน กสทช.โดยให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศกำหนด
ให้ กสทช.และสำนักงาน กสทช. หรือ คณะกรรมการบริหารกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ แล้วแต่กรณี
จัดให้มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลให้กับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลเป็นจำนวนเงินในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ดังกล่าวเป็นระยะเวลา 24 เดือนนับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้มีการโอนกิจการได้ โดยไม่ให้ต่างชาติเป็นเจ้าของ
ทั้งนี้ การดำเนินการโดยใช้อำนาจตาม ม. 44 ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนักธุรกิจแต่อย่างใด แต่เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการและให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ เป็นประโยชน์กับประชาชนและไม่ได้ทำให้ภาครัฐเกิดความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 22 บริษัทได้ชำระค่าธรรมเนียมมาแล้วประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังเหลืออีกประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ทางรัฐบาลก็ไม่ได้ยกเลิกมูลหนี้ เพียงแต่วางมาตรการพักชำระหนี้ขยายเวลาออกไปเท่านั้น สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการหามาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนผู้ใช้บริการต่อไป ทั้งนี้ต้องรอประกาศในราชกิจจาก่อน