วันนี้ (18ม.ค.62) นางรวิฐา พงศ์นุชิต นายกสมาคมการค้าร้านค้าปลอดอากรไทย และ นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ยื่นหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อีกครั้ง โดยนายสมพาศ นิลพันธ์ที่ปรึกษาปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับหนังสือ หลังจากได้เคยยื่นข้อเสนอแนะให้ทบทวนไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา
นางรวิฐา กล่าวว่า เนื้อหาสำคัญของข้อเสนอ คือ ยกเลิกระบบผูกขาด เพราะปัจจุบัน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) ได้ดำเนินการให้สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ซึ่งเป็นสนามบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ใช้ระบบสัมปทานรายเดียว (Master Concession) อันถือเป็นการผูกขาดและไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ส่งผลให้ความหลากหลายของสินค้า และคุณภาพของการบริการมีจำกัด
โดยขอเสนอให้เปลี่ยนจากระบบสัมปทานรายเดียว มาใช้ระบบสัมปทานหลายรายตามหมวดหมู่สินค้า (Concession by Category) แทน เช่น หมวดเครื่องสำอาง หมวดสุราและบุหรี่ หมวดสินค้าแฟชั่น เป็นต้น โดยเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมิ ที่กำลังจะเปิดให้มีการประมูล
นายกสมาคมการค้าร้านค้าปลอดอากรไทย กล่าวว่า ระบบสัมปทานประเภทนี้ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประเทศชั้นนำทั่วโลก เช่น สนามบินอินชอน สาธารณรัฐเกาหลีใต้ สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ สนามบินฮ่องกง เป็นต้น ซึ่งมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ให้สัมปทานและผู้ใช้บริการสนามบิน
นอกจากนี้ให้ปรับปรุงจุดส่งมอบสินค้าสาธารณะในสนามบิน ซึ่งปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือ งมีจุดส่งมอบสินค้าในสนามบินสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรในเมือง (Downtown Duty Free) เพียงรายเดียว ถือเป็นการผูกขาดเช่นกัน ดังนั้นจึงเสนอให้จุดส่งมอบสินค้าสาธารณะในสนามบินนานาชาติทุกแห่งที่อยู่ในกำกับดูแลของ ทอท. โดยไม่ต้องเปิดให้มีสัมปทาน แต่ให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรในเมืองที่ได้รับอนุญาตจากกรมศุลกากรสามารถเช่าพื้นที่ กับ ทอท.
รวมทั้งให้พิจารณาลดหย่อนอากรขาเข้าสำหรับสินค้านำเข้าที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เนื่องจากปัจจุบันอากรขาเข้า อยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อาทิ จีน มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ซึ่งถ้าสามารถปรับเกณฑ์ดังกล่าวได้จะช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และยังลดการซื้อขายในตลาด grey market ให้น้อยลงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้นในระดับภูมิภาค และสร้างผลประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย ทั้งทางภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทย
นายกสมาคมการค้าร้านค้าปลอดอากรไทย ระบุว่า หากประเทศไทยยกเลิกการผูกขาดธุรกิจร้านค้าปลอดอากร ทั้งภายในสนามบินและในตัวเมือง, เปิดเสรีจุดส่งมอบสินค้าสาธารณะในสนามบิน รวมถึง ปรับอัตราภาษีนำเข้าให้แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ประเทศไทยมีโอกาสมหาศาลที่จะเพิ่มรายได้จากอุตสาหกรรมค้าปลีกท่องเที่ยว คิดเป็นจำนวนเงินถึง 270,000 ล้านบาทต่อปี และจะส่งผลให้ภาครัฐได้รับผลประโยชน์สุทธิรวมกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องพิจารณาและทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ