สมาคมฯต้านโลกร้อน ออกแถลงการณ์จี้ครม.ทบทวนมติผ่อนผัน “บ.ปูนซิเมนต์ไทย” ทำเหมืองหินปูน ในพื้นที่ป่าสงวนฯ 3,000 ไร่ นาน 18 ปี ระบุไม่ทบทวนจะยื่นฟ้องศาลปกครอง
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์คัดค้านการทำเหมืองหินปูนในเขตป่าสงวนทับกวาง-มวกเหล็ก โดยระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวางและป่ามวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ จำนวน 15 แปลง ในท้องที่ต.มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก และต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี รวมเนื้อที่ 3,223 ไร่ 2 งาน 25 ตารางวา นั้น
พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ซึ่งมติครม.เมื่อ 12 ต.ค.2519 เคยกำหนดห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นที่ป่าไม้เป็นรูปแบบอื่นอย่างเด็ดขาดทุกกรณี ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำ ลำธาร ยกเว้นจะผ่อนผันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เช่น การก่อสร้างเส้นทางเพื่อความมั่นคงเท่านั้น และตามมติครม.เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2532 ระบุด้วยว่า จะไม่อนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใดใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ อีกไม่ว่ากรณีใด
“การที่คณะรัฐมนตรีถืออำนาจบาตรใหญ่อนุมัติพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ ซึ่งเป็นสมบัติของชาติไปให้กับกลุ่มทุนบริษัทเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรมาแบ่งปันกันไปกว่า 3,000 ไร่ในช่วงที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 ม.ค.2562 นั้น จะให้ประชาชนแปรความหมายการอนุมัติเรื่องนี้ไว้เช่นใด ทั้งๆ ที่ในอดีตหากจะมีการขอผ่อนผันก็จะอนุญาตให้ไม่เกิน 10 ปีเท่านั้น แต่ครั้งนี้กลับประเคนให้ถึง 18 ปีอย่างง่ายดาย แต่เวลาชาวบ้านเข้าป่าไปเก็บเห็ด เก็บผักหวานในพื้นที่ป่าบ้าง กลับต้องถูกจับขังคุก ซึ่งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของใครกันแน่”แถลงการณ์ระบุ
แถลงการณ์ยังระบุต่อไปว่า ที่สำคัญการใช้อำนาจดังกล่าวส่อที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 53 มาตรา 57 และมาตรา 63 ประกอบ มาตรา 17 วรรค 4 ของพ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2559 ที่กําหนดให้การทำเหมืองต้องไม่ใช่พื้นที่ที่มีกฎหมายห้ามการเข้าใช้ประโยชน์ พื้นที่เขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ หรือพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับน้ำซึมโดยเด็ดขาด
“กรณีดังกล่าวสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จึงขอเรียกร้องไปยังครม.ขอให้ทบทวนมติอัปยศดังกล่าวเสีย หากยังมีจิตสำนึกของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่บ้าง หาไม่เช่นนั้นแล้ว สมาคมฯและชาวบ้านจำเป็นต้องหันไปพึงบารมีของศาลปกครองต่อไป”แถลงการณ์ระบุ