สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่ม 1% ปิดที่ 64.05 ดอลล์ กังวลอุปทานน้ำมันตลาดโลกลดลง จากเหตุสู้รบใน “ลิเบีย” พร้อมคาดการส่งออกน้ำมันของ “อิหร่าน-เวเนซุเอลา” ลดลงต่อเนื่อง
เมื่อคืนวันอังคาร (16 เม.ย.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนพ.ค. ปิดที่ 64.05 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.65 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 1% ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือนมิ.ย. ปิดที่ 71.72 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.54 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 0.8%
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1% และในระหว่างวันราคาพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 64.79 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 1 พ.ย.2561 หลังจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของอุปทานน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเป็นผลจากจากเหตุการณ์สู้รบไม่สงบในลิเบีย
โดยล่าสุดกองทัพของรัฐบาลลิเบีย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล และกองกำลังของพล.อ.คาลีฟา ฮัฟตาร์ ผู้นำกองทัพแห่งชาติลิเบีย (LNA) ยังคงสู้รบกันใกล้กรุงทริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย โดยยอดผู้เสียชีวิตในขณะนี้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 174 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 700 ราย
ขณะเดียวกัน การส่งออกน้ำมันของอิหร่านและเวเนซุเอลาที่ลดลง ซึ่งมีสาเหตุจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ ทำให้เกิดความกังวลว่าอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะเข้าสู่ภาวะตึงตัวมากขึ้น โดยล่าสุดมีการคาดการณ์ว่า การส่งออกน้ำมันของอิหร่านในเดือนเม.ย.จะอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบปี
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการลดกำลังผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ไปจนถึงเดือนมิ.ย.นี้ และจะมีการตัดสินใจว่า จะขยายเวลาในการลดกำลังผลิตออกไปจากเดือนมิ.ย.อีกหรือไม่ ในขณะที่รัสเซียส่งสัญญาณว่าจะไม่ขยายเวลาลดกำลังการผลิต
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันของสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 เม.ย. โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะมีการเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (17 เม.ย.) เวลา 21.30 น. ซึ่งนักวิเคราะห์ในโพลล์เอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล