สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วง 02% ปิดที่ 62.99 เหรียญสหรัฐ หลังนักลงทุนกังวลผลกระทบสงครามการค้า “สหรัฐ-จีน” ยืดเยื้อ ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียได้รับผลกระทบชัดเจนขึ้น
เมื่อคืนวันอังคาร (21 พ.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนมิ.ย. ปิดที่ 62.99 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.11 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.2% ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือนก.ค. ปิดที่ 72.18 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.21 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 0.3%
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปิดแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง โดยล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ได้ส่งสัญญาณว่า จีนพร้อมที่จะทำสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐ
ทั้งนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยืดเยื้อ ทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว และขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่แสดงว่าเศรษฐกิจเอเชียได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนว่า อิหร่านจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรง หากโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐในตะวันออกกลาง ซึ่งก่อนหน้านี้ กลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ได้ยิงจรวดโจมตีย่าน Green Zone ในกรุงแบกแดดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ด้านรมว.กระทรวงน้ำมันของอิรัก กล่าวว่า ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อเสถียรภาพของตลาดน้ำมันโลก พร้อมทั้งระบุว่า กลุ่มโอเปกควรที่จะมีข้อตกลงใหม่ที่จะช่วยสร้างเสถียรภาพและสนับสนุนราคา อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ซาอุดิอาระเบียได้ส่งสัญญาณว่า จะควบคุมการผลิตน้ำมันต่อไปจนถึงสิ้นปี
ด้านบมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22 พ.ค. ว่า เมื่อคืนวานนี้ (21 พ.ค.) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ขยับขึ้น ในขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับลง บนความไม่แน่นอนของตลาดน้ำมันดิบ หลังความเสี่ยงด้านอุปทานจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ถูกบดบังโดยความวุ่นวายของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
นายฮัสซัน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ปฏิเสธการเจรจาต่อรองกับสหรัฐ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มความเข้มงวดของมาตรการคว่ำบาตร โดยเผยว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจของอิหร่านถดถอยรุนแรงกว่าการคว่ำ บาตรในปี 2558
ขณะเดียวกัน ผลจากสงครามการค้าสหรัฐและจีน เริ่มแสดงผ่านตัวเลขเศรษฐกิจของหลายประเทศในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ และไทย ที่รายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี และ 4 ปี ตามลำดับ ส่งผลให้ตลาดเกิดความกังวลต่ออุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปว่าอาจมีทิศทางอ่อนแอลงในอนาคต
หลังปิดตลาด สถาบันปิโตรเลียมสหรัฐ (API) รายงานตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐปรับเพิ่มกว่า 2.4 ล้านบาร์เรลสวนทางที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับลด 599,000 บาร์เรล ส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมันดิบ WTI