- รู้หรือไม่ คนไทยเสียชีวิตจากโรคหืด ปีละกว่า 2000 ราย
- มีผู้ป่วยที่ต้องเข้าห้องฉุกเฉินปีละล้านครั้ง
- โรคหืดยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้
- เปิดทฤษฎี 4Es เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไข้ เพื่อควบคุมอาการไม่ให้กำเริบ และลดการใช้ยา
ถ้าพูดถึง “โรคหืด” หลายคนอาจยังมีความสับสน และเข้าใจผิดว่าเป็นโรคชนิดเดียวกันกับหอบหืด แต่ความจริงแล้วคนที่เป็นโรคหืดนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นหอบก็ได้ ซึ่งในที่นี้เราจะมาแนะนำถึงวิธีการดูแลตัวของคนที่เป็นโรคหืด เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตลง
ปัจจุบันโรคหืดพบได้มากถึงร้อยละ 7 ของคนไทยทั้งหมด จากข้อมูลของสำนักโรคไม่ติดต่อพบว่า ผู้ป่วยโรคหืดมีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่า 2,000 รายต่อปี และที่น่าตกใจไปกว่านั้น โรคนี้ยังไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ ศ.นพ. สุชัย เจริญรัตนกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลเสริมว่า เป้าหมายของการรักษาผู้ป่วยโรคหืด จึงเป็นการควบคุมอาการให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนคนปกติ
ศ.พญ. อรพรรณ โพชนุกูล นายกผู้ตั้งสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และโรคระบบหายใจ โรงพยาบาล ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวถึงการใช้ทฤษฎี 4Es ที่สามารถใช้ควบคู่ไปกับการรักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งทฤษฏี 4ES ประกอบไปด้วย
- การให้คนไข้หันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ (Exercise)
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ (Eating)
- สิ่งแวดล้อม (Environment) คนไข้โรคหืดจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ
- อารมณ์ความรู้สึก (Emotion) ในภาวะที่คนไข้เครียด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน จะทำให้โรคกำเริบขึ้นมาได้
ทั้งหมดนี้เป็นทฤษฎีที่ง่าย สามารถนำประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ด้าน ผศ.นพ. ธีระศักดิ์ แก้วอมตวงศ์ เลขาธิการสมาคมสภาองค์กรโรคหืดฯ กล่าวว่าการสร้างฐานข้อมูลของคนไข้โรคหืดนั้นมีความจำเป็น และต้องทำอย่างเป็นระบบ เพื่อจัดทำมาตรฐานแนวทางการวินิจฉัยเพื่อการรักษา การทดสอบทางห้องปฏิบัตืการ การสืบค้นหาดัชนีชี้วัดทางชีวภาพที่เหมาะสมในการแยกชนิดของโรคหืดชนิดรุนแรง เพื่อให้เห็นถึงอุบัติการณ์ ความชุก และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหืดระดับรุนแรง โดยจะนำไปใช้ทำนายการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาที่จำเพาะสำหรับโรคหืดขั้นรุนแรง ผลการรักษาและอัตราการเสียชีวิตจากโรคหืด และนำไปสู่การแนวทางการวินิจฉัยและรักษา โรคหืดขั้นรุนแรง (Thai severe asthma guideline) อันจะเป็นประโยชน์กับบุคลากรการแพทย์ ในการนำไปใช้รักษาคนไข้ในพื้นที่บริการได้ โดยการเก็บข้อมูลนั้น ได้รับความร่วมมือในรูปแบบสหสถาบันในไทย ประกอบไปด้วย โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยศรีนครินทวิโรฒ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และโรงพยาบาล สงขลานครินทร์ โดยตั้งกลุ่ม airway disease assembly เป็นกลุ่มทางวิชาการและการวิจัย โดยแพทย์และนักวิชาการที่มีความสนใจด้านโรคหลอดลม
หากใครที่อยากศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้เพิ่มเติม หรืออยากได้ความรู้ทางด้านอื่น ๆ เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage “Asthma Talk by Dr.Ann”