รู้จักกับ ประกันสุขภาพ Co-Payment ทั้งข้อดี และข้อจำกัด พร้อมตอบคำถามใครได้ผลกระทับกับประกันตัวนี้บ้าง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการทำประกันสุขภาพ
การทำประกันสุขภาพในปี 2568 มีเงื่อนไขใหม่ที่ทุกคนควรรู้ ! เมื่อสำนักงาน คปภ. ได้ประกาศใช้มาตรการ Co-Payment สำหรับประกันสุขภาพแล้ว หลายคนเริ่มสงสัยว่าเงื่อนไขใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อตนเองหรือไม่ ประกันสุขภาพยังน่าทำอยู่หรือเปล่า ? และถ้าทำแล้วต้องเตรียมตัวอย่างไร ? วันนี้ เราจะมาอธิบายทุกอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับระบบ Co-Payment ให้เข้าใจง่าย ๆ พร้อมช่วยคุณตัดสินใจว่าควรจะจัดการประกันสุขภาพอย่างไรในปีนี้
ประกันสุขภาพ Co-Payment 2568 คืออะไร
Co-Payment หรือระบบการมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล คือ เงื่อนไขใหม่ที่กำหนดให้ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่จากค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละครั้งที่เข้ารับการรักษา โดยจะต้องจ่ายทุกครั้งที่มีการเคลมประกัน ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่บริษัทประกันจะจ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมดตามที่เกิดขึ้นจริง ระบบ Co-Payment นี้จึงหมายความว่า ผู้เอาประกันจะต้องแบกรับต้นทุนการรักษาร่วมกับบริษัทประกันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์
ข้อดีของประกันสุขภาพ Co-Payment

แม้ว่าระบบ Co-Payment จะเพิ่มภาระการจ่ายของผู้เอาประกัน แต่ก็มีข้อดีที่น่าสนใจเช่นกัน
- เบี้ยประกันถูกลง : ทำให้คนไทยเข้าถึงประกันสุขภาพได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง และต้องการประกันในราคาที่สมเหตุสมผล
- ลดความเสี่ยงการปรับเบี้ยในอนาคต : ช่วยป้องกันการเคลมที่เกินความจำเป็น ซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทประกันต้องปรับเบี้ยขึ้นทั้งระบบ
- สร้างวินัยในการใช้สิทธิ์ : ผู้เอาประกันจะระมัดระวัง และใช้สิทธิ์การเคลมอย่างเหมาะสม ไม่เกินความจำเป็นทางการแพทย์
ข้อจำกัดของประกันสุขภาพ Co-Payment
ในขณะเดียวกัน ระบบ Co-Payment ก็มีข้อจำกัดที่ผู้เอาประกันควรพิจารณา
- ต้องจ่ายค่ารักษาเพิ่มเติม : เมื่อเข้าเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์ ซึ่งอาจเป็นภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น
- ไม่เหมาะกับผู้ป่วยบ่อย : หากมีการเจ็บป่วยด้วยโรคเล็กน้อยบ่อย ๆ อาจทำให้เข้าเงื่อนไข Co-Payment ได้ง่าย
- ต้องวางแผนการเงินชัดเจนยิ่งขึ้น : เนื่องจากไม่สามารถโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกันได้ทั้งหมดเหมือนเดิม จำเป็นต้องเตรียมเงินสำรองเพิ่มเติม
ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจากประกันสุขภาพ Co-Payment
เงื่อนไข Co-Payment จะส่งผลกระทบเฉพาะผู้ทำประกันสุขภาพรายใหม่ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และจะเข้าเงื่อนไขก็ต่อเมื่อมีการเคลมเกินกว่าที่กำหนดในปีกรมธรรม์แรก แล้วจึงมีผลในปีต่ออายุ ส่วนผู้ที่ทำประกันสุขภาพอยู่ก่อนหน้านี้ และต่ออายุภายในกำหนด รวมถึงผู้ซื้อประกันก่อนวันที่ 20 มีนาคม 2568 จะไม่ได้รับผลกระทบจากเงื่อนไขนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ถือกรมธรรม์เก่าควรตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาของตนเองเพื่อความแน่ใจ
ประกันสุขภาพ Co-Payment แตกต่างจากประกันสุขภาพแบบอื่นอย่างไร

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างรูปแบบความคุ้มครองประกันสุขภาพแต่ละประเภทจะช่วยให้คุณเลือกประกันที่เหมาะสมกับความต้องการได้ดียิ่งขึ้น
ประกันสุขภาพ Co-Payment
ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่ายค่ารักษาเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ทุกครั้งที่เคลม เช่น หากกำหนดไว้ 30% และค่ารักษาทั้งหมด 300,000 บาท ผู้เอาประกันต้องจ่ายเอง 90,000 บาท ส่วนบริษัทประกันจ่ายที่เหลือ 210,000 บาท การจ่ายแบบนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการใช้สิทธิ์เคลมตามสัดส่วนที่กำหนด
ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย
บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่เกินวงเงินสูงสุดต่อปีที่ระบุในกรมธรรม์ ผู้เอาประกันไม่ต้องจ่ายค่ารักษาเพิ่มเติม นอกจากค่า Deductible (หากมี) หรือค่ารักษาที่เกินวงเงินความคุ้มครอง
ประกันสุขภาพแบบมีค่าใช้จ่ายส่วนแรก (Deductible)
ระบบ Deductible จะกำหนดยอดเงินคงที่ที่ผู้เอาประกันต้องจ่ายเองก่อนที่บริษัทประกันจะเข้ามารับผิดชอบส่วนที่เหลือ หากอยากเปรียบเทียบให้ชัด ๆ ถึงความแตกต่างของรูปแบบความคุ้มครองประกันสุขภาพทั้ง 3 แบบ ติดตามได้ที่บทความ เจาะลึก Co-Payment ประกันสุขภาพเงื่อนไขใหม่ที่คนไทยต้องรู้
สรุปบทความ
เงื่อนไข Co-Payment ที่เริ่มใช้กับประกันสุขภาพในปี 2568 เป็นการปรับเปลี่ยนสำคัญที่มุ่งสร้างสมดุลในระบบประกันสุขภาพ ช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย และลดการใช้สิทธิ์เกินความจำเป็น
แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องการต้องร่วมจ่ายค่ารักษา แต่ประกันสุขภาพยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพ โดยเฉพาะกรณีการเจ็บป่วยที่มีค่าใช้จ่ายสูง การทำความเข้าใจเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างละเอียด และเลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับความต้องการ และความสามารถทางการเงินของตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากประกันสุขภาพในยุค Co-Payment นี้