สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่ง 2.07% ปิดที่ 70.11 เหรียญสหรัฐ หลังสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง “สหรัฐ-อิหร่าน” เพิ่มขึ้น ท่ามกลางอุปทานน้ำมันตึงตัวจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก
เมื่อคืนวันจันทร์ (27 พ.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนก.ค. อยู่ที่ 58.63 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ราคาไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นวันหยุด ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือนก.ค. ปิดที่ 70.11 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.42 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 2.07%
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน การลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร รวมถึงการส่งออกน้ำมันทางท่อ (Druzhba pipeline) ของรัสเซียไปยังยุโรปที่หยุดชะงักลงตั้งแต่เดือนที่แล้ว หลังจากมีการพบสารปนเปื้อน
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและจีน โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดเผยตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมของจีนในเดือนเม.ย. ซึ่งพบว่ากำไรหดตัวลง ขณะที่คำสั่งซื้อใหม่ในส่วนของสินค้าทุนในสหรัฐลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ด้านบมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28 พ.ค. ว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน หลังสหรัฐส่งทหารจำนวน 1,500 นายไปประจำการในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่เพิ่มแรงกดดันด้านอุปสงค์น้ำมันดิบ
อย่างไรก็ตาม JBC Energy กล่าวว่า แม้สถานการณ์จะเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค แต่ราคาน้ำมันดิบในตลาดสหรัฐ ได้ซึมซับปัจจัยเหล่านี้ไปบางส่วนแล้ว
ขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบของรัสเซียปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แตะระดับ 11.18 พันล้านบาร์เรล/วัน ภายใต้แรงกดดันจากปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบที่ลดลงกว่าร้อยละ 6 จากปัญหาพบสารปนเปื้อนในท่อส่งน้ำมันดิบ Druzhba ปริมาณกว่า 5 ล้านตัน ในเดือนเม.ย.2562
ส่วนนาย Khaled al-Fadhel รัฐมนตรีด้านพลังงานปิโตรเลียม ประเทศคูเวต คาดการณ์ว่า ตลาดน้ำมันดิบจะทรงตัวในไตรมาสที่ 2 จนถึงปลายปี 62 เนื่องจากน้ำมันดิบคงคลังปรับตัวลดลง และอุปสงค์จะยังคงแข็งแรงจากโรงกลั่นที่จะมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นทั่วโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า