ครม.อนุมัติงบ 525 ล้านบาท ซื้อน้ำมันปาล์มดิบ 1.6 แสนตัน กิโลกรัมละ 18 บาท เผาผลิตไฟฟ้า พร้อมจัดสรรงบอีก 525 ล้านบาท อุดหนุนค่าส่งออกน้ำมันปาล์มไปต่างประเทศ กิโลกรัมละ 1.75 บาท
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบกลาง 525 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ 1.6 แสนตัน ในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ไปใช้ในเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง ในช่วงเดือนพ.ย.2561-ก.พ.2562
ทั้งนี้ การรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบดังกล่าว กฟผ.จะรับซื้อจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มในพื้นที่แหล่งผลิตสำคัญ เช่น กระบี่ สุราษฎร์ธานี และชุมพร เป็นต้น
นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบให้ขยายระยะโครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2561 ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ออกไปอีก 6 เดือน หรือเป็นในเดือนพ.ค.2562 จากเดิมที่สิ้นสุดในเดือนพ.ย.นี้ พร้อมทั้งอนุมัติงบกลาง 525 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ส่งออกไม่เกินกิโลกรัมละ 1.75 บาท
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุม ครม.ได้หารือมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาทั้งเรื่องยางพาราและปาล์มน้ำมัน โดยในส่วนมาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ รัฐบาลจะรับซื้อปาล์มน้ำมันดิบในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ประมาณ 1.6 แสนตัน เพื่อนำไปผลิตไฟฟ้า
“รัฐบาลจะรับซื้อน้ำมันปาล์มจากโรงสกัด เพื่อให้เกษตรกรได้ประโยชน์โดยตรง ส่วนมาตรการระยะยาวจะเพิ่มการนำปาล์มน้ำมันมาเป็นส่วนผสมของน้ำมันบี 20 โดยมีเป้าหมายเพิ่มการใช้น้ำมันปาล์มดิบปีละ 5 แสนตัน”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรที่มีราคาสูงกว่าท้องตลาด ส่งผลทำให้ต้นทุนของภาครัฐสูงขึ้นด้วย เช่น การนำปาล์มน้ำมันไปผลิตกระแสไฟฟ้า จะทำให้ต้นทุนผลิตกระแสไฟฟ้าสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องใช้เงินไปดูแลในส่วนนี้ด้วย จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาอาจดูเหมือนง่าย แต่จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการที่ชัดเจน และเพียงการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนเท่านั้น
“รัฐบาลไม่สามารถจะช่วยเหลือไปได้ตลอด เพราะต้องคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลด้วย”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำว่า ประเทศไทยมีผลผลิตยางถึง 4.6 ล้านตัน แต่มีการใช้ยางในประเทศ 4 แสนตัน แต่รัฐบาลได้เร่งการนำผลผลิตมาใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 6 แสนตัน แต่ยังเหลือผลผลิตอีก 4 ล้านตัน ถือว่าไทยมีผลผลิตปริมาณยางที่มากที่สุดในโลก ดังนั้น เรื่องราคาก็ขึ้นอยู่กับปริมาณด้วย
“รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มแข็ง ทั้งในเรื่องการลดพื้นที่ปลูกยาง และการแก้ไขปัญหาการปลูกยางในพื้นที่บุกรุกของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลจะดูแลในส่วนที่ถูกต้องตามกฎหมายก่อน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีมาตรการการช่วยเหลือ โดยช่วยเหลือไม่เกิน 15 ไร่ เพื่อเพิ่มการใช้ยางในประเทศและมาตรการทั้งหมด ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการยางธรรมชาติก่อน”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า อยากขอร้องกลุ่มเกษตรกรอย่าออกมารวมตัวประท้วง เพราะรัฐบาลพยายามดูแลทุกกลุ่ม และอยากสร้างความเข้าใจว่าการที่รัฐบาลให้เงินช่วยเหลือเป็นเพียงการบรรเทาความเดือดร้อนชั่วคราว แต่สิ่งสำคัญเกษตรกรต้องรู้จักปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้เข้าใจระบบการค้าการลงทุนในปัจจุบัน และต้องเข้าใจถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกที่หลายประเทศประสบปัญหา
“หากมองมาที่ประเทศไทย ถือว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังดีอยู่ แต่การแก้ปัญหานั้น รัฐบาลพยายามดูภาพรวมทั้งหมด จะช่วยเพียงเฉพาะกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดไม่ได้ และพยายามสร้างโอกาสและความเท่าเทียมให้กับเกษตรกร”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว