ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดาวโจนส์ปิดบวก 69.31 จุด ขานรับแนวโน้มเฟดลดดอกเบี้ยอีกเดือนนี้
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ หลังจากนักลงทุนปรับตัวรับการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งเพิ่มแนวโน้มที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ขณะที่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนก็ได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย
สำหรับดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,797.46 จุด เพิ่มขึ้น 69.31 จุด หรือ +0.26% และ ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,978.71 จุด เพิ่มขึ้น 2.71 จุด หรือ +0.09% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,103.07 จุด ลดลง 13.75 จุด หรือ -0.17%
ตลาดปรับตัวรับการกล่าวสุนทรพจน์ของนายพาวเวลที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยเขาระบุว่า ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน กำลังถ่วงการตัดสินใจด้านการลงทุนของบริษัทต่างๆ
สำนักข่าว CNBC รายงานคำกล่าวสุนทรพจน์ของ นายเจอโรม พาวเวล ว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าทำให้บางบริษัทชะลอการลงทุน ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่ง และเฟดจะยังคงดำเนินการที่เหมาะสมต่อไปเพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกไม่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 150,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7% ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ ความเห็นของนายพาวเวลและตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่ต่ำกว่าคาด ได้เพิ่มแนวโน้มที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนนี้
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมรอบที่แล้วในวันที่ 30-31 ก.ค. ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2551
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศเมื่อวานนี้ว่า PBOC จะลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) ลง 0.50% นับตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจจีน
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปิดบวก โดยหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวขึ้นมากที่สุด ส่วนกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง
หุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวลงด้วย โดยถูกกดดันจากหุ้นเฟซบุ๊กซึ่งร่วงลง 1.8% หลังอัยการสหรัฐฯระบุว่า จะสอบสวนว่าเฟซบุ๊กสกัดกั้นการแข่งขันและทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงหรือไม่