“ปิยบุตร” แจงแทน “ธนาธร” ปมหุ้น “วี–ลัค” ยันโอนหุ้น 8 ม.ค. โอด กกต.ไม่เคยเรียกชี้แจง วอนให้ความเป็นธรรม หวั่นชี้มูลจากข้อมูลด้านเดียว
22 เม.ย.62-นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงโดยละเอียดในกรณีการโอนหุ้นบริษัทวี–ลัคมีเดีย โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจภรรยา โดยนายปิยบุตร ระบุว่าใครที่เรียนวิชานิติศาสตร์มาโดยเฉพาะในวิชาหุ้นส่วนบริษัทจะพบได้ทันทีว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่ยังคงมีสื่อมวลชนบางสำนักเผยแพร่ข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง และมีการพาดหัวชี้นำมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดคำถามว่ามีความต้องการลดความน่าเชื่อถือของพรรคหรือไม่ จากเดิมพรรคต้องการชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อกรณีนี้ จนถึงวันนี้กลับยังไม่เคยได้รับการติดต่อเชิญจากกกต.ให้ไปชี้แจงแม้แต่ครั้งเดียว จึงเกิดความกังวลใจว่ากระบวนการพิจารณาของ กกต.อาจจะขัดกับหลักการของกฎหมาย ในการรับฟังคำชี้แจงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
นายปิยุบตร กล่าวต่อว่า วันนี้นายธนาธรซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปทำภารกิจที่ยุโรป ได้มอบอำนาจให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคนำเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เตรียมเอาไว้เข้าไปชี้แจงกับทางกกต.แล้ว โดยตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ห้ามผู้สมัคร ส.ส.ครอบครองถือหุ้นสื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมืองได้มีโอกาสใช้อิทธิพลของตัวเองไปครอบงำสื่อ ซึ่งนายธนาธรได้ปฏิบัติตามโดยไล่เรียงตามลำดับดังนี้ วันที่ 8 ม.ค.2562 นายธนาธรและภรรยาได้ดำเนินการโอนหุ้นให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยมีเอกสารคือตราสารโอนหุ้น พร้อมการลงนามรับรองของโนตารี่พร้อมใบหุ้นรับรองว่า ได้มีการโอนหุ้นกันเกิดขึ้นจริงพร้อมเช็คขีดคร่อมและมีการบันทึกลงไว้อยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นสมบูรณ์เรียบร้อย เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 วรรค 2 ที่ระบุให้การโอนหุ้นจะมีผลสมบูรณ์ เมื่อมีการทำเป็นหนังสือและมีการลงนามโดยผู้โอนหุ้นกับผู้รับโอนหุ้น และมีหมายเลขหุ้นและวรรค3 ที่ว่าการโอนเช่นนี้ จะนำมาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น ซึ่งในคำพิพากษาศาลฎีกาก็มีการกำหนดเป็นแนวทางไว้แล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการจดแจ้งในทะเบียนผู้ถือหุ้นแล้วถือว่า มีผลต่อบุคคลภายนอกแล้ว
“ดังนั้นกรณีนี้จึงชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า นายธนาธรและนายรวิพรรณได้ทำการโอนหุ้นสมบูรณ์ มีผลทางกฎหมายเรียบร้อยแล้วนับแต่วันที่ 8 ม.ค.2562 นายธนาธรจึงไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทวี–ลัคมีเดียอีกต่อไป เรื่องนี้ควรจะจุดฟูลสต๊อปจบได้แล้วมีผลทางกฎหมาย ผูกพันผู้โอนผู้รับโอนและบุคคลภายนอกบริษัทสมบูรณ์แล้ว“นายปิยบุตรกล่าว
นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีนี้การปรากฏตัวอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ตนได้อยู่ในเหตุการณ์ร่วมปราศรัยกับนายธนาธรที่ อ.สะตึก จ.บุรีรัมย์ จากนั้นนายธนาธรขึ้นรถกลับมาที่กรุงเทพฯ ก่อนในช่วงบ่ายของวันที่ 8 ม.ค. เนื่องจากต้องมาจัดการเรื่องโอนหุ้นนี้ ส่วนตนปราศรัยเลี้ยงเวทีไว้ภายหลังนายธนาธรเดินทางกลับ มีหลักฐานการจ่ายเงินค่าทางด่วนอีซี่พาสชัดเจน ก่อนเดินทางออกจากบ้านไปสนามบินดอนเมือง เพื่อขึ้นเครื่องบินไป จ.นครศรีธรรมราชในวันที่ 9 ม.ค. มีหลักฐานการจ่ายเงินค่าทางด่วนอีซี่พาสและตั๋วเครื่องบินทั้งหมดเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าคืนวันที่ 8 ม.ค. นายธนาธรอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อทำธุระเรื่องการโอนหุ้นจริง จากนั้นในวันที่14 ม.ค. 2562 นางสมพรได้โอนหุ้นให้นายทวี และนายปิติซึ่งเป็นหลานชาย โดยมีเอกสารหลักฐานเป็นตราสารโอนหุ้น และสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นโดยเหตุผลคือ จากเดิมที่ตั้งใจจะปิดบริษัทตั้งแต่ปี 2561 แต่เนื่องจากบริษัทยังมีลูกหนี้ที่หนี้ค้างชำระกับบริษัทอยู่กว่า 11 ล้านบาท นางสมพรจึงทำตามคำแนะนำของฝ่ายบัญชีบริษัทว่า ควรจัดการสะสางเรื่องหนี้สินนี้ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจึงได้โอนหุ้นให้หลานชาย เพื่อให้มาทดลองทำธุรกิจด้วย
นายปิยุบตร กล่าวอีกว่า ต่อมาวันที่ 19 มี.ค.2562 ได้ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทวี–ลัคมีเดียครั้งที่ 1/62 มีผู้ถือหุ้นเข้าประชุม 10 คนโดยมีผู้ถือหุ้นเข้าประชุมด้วยตัวเอง4 คนที่เหลืออีก 6 คนมอบอำนาจให้ผู้ถือหุ้นอีก 4 คนเข้าประชุมแทนโดยวาระการประชุมคือ แจ้งการลาออกของนางรวิพรรณ และแจ้งปิดกิจการเนื่องด้วยฝ่ายบัญชีบริษัทมาตรวจสอบทราบทีหลังว่า หนี้สินที่มีลูกหนี้คงค้างกับบริษัทนั้นเป็นหนี้ NPL คือลูกหนี้หมดศักยภาพในการใช้หนี้แล้ว นายทวีและนายปิติจึงได้มีการโอนหุ้นกลับมาให้นางสมพรอีกครั้ง เพื่อดำเนินการปิดกิจการเมื่อวันที่ 21 มี.ค.2562 โดยมีหลักฐานเป็นตราสารการโอนหุ้นและสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น
“จากนั้นบริษัทวี–ลัคมีเดีย จึงได้ยื่นสำเนาบัญชีผู้ถือหุ้นตามบอจ.5 ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในวันที่ 21 มี.ค.2562 โดยเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ระบุให้มีการยื่นปีละหนึ่งครั้งภายใน 14 วันหลังการประชุมผู้ถือหุ้นและที่มีการยื่นในวันที่ 21 มี.ค.ก็เพราะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 มี.ค. เป็นการกระทำที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายทั้งหมด ดังนั้นการโอนหุ้นดังกล่าวมีผลทางกฎหมายเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมก็หวังว่า กกต.จะมีความเป็นธรรม และหากพิจารณาตามเอกสารหลักฐานทั้งหมด ควรจะเห็นได้ว่ามีความสมบูรณ์พอแล้วที่จะชี้ว่าเรื่องนี้ไม่มีมูลดังที่ถูกกล่าวหา“นายปิยบุตร กล่าว