รายงานพิเศษ : ส่องความได้เปรียบ “พลังประชารัฐ” เททุกหน้าตัก สยายปีกอำนาจใหม่
ยังถูกเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อพรรคพลังประชารัฐขยับตัวครั้งใหญ่จัดเตรียมกำลังพลไปสู่การเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศคำสั่ง “ปลดล็อก” ทางการเมืองวันที่ 11 ธ.ค. เมื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายในวันเดียวกัน
การเดินเกมจัดสัมมนายุทธศาสตร์เลือกตั้งให้ว่าที่ผู้สมัครส.ส.พื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือล่าสุด มีนักการเมืองระดับหัวกะทิที่ถูกดึงเข้ามาเป็นพี่เลี้ยง ตั้งแต่สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สุชาติ ตันเจริญ อนุชา นาคาศัย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ หรือสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้ปิดห้องติวเข้มให้ว่าที่ผู้สมัครส.ส. เพื่อถ่ายทอด “ทุกกลยุทธ์” นำไปใช้หาเสียงเพื่อเอาชนะคู่แข่งในแต่ละเขตเลือกตั้ง
ถึงแม้ตัวเลขเก้าอี้ส.ส.ที่ “สุริยะ” ตั้งเป้าให้พลังประชารัฐจะอยู่ที่ 150 เสียง แต่ยังเป็นตัวเลขขั้นต่ำที่ประเมินคะแนนในหัวเมืองสำคัญ จากความมั่นใจใน “ขุมกำลัง” เกือบทุกด้านโดยเฉพาะการอยู่ในอำนาจรัฐบาลจาก “4 รมต.” พลังประชารัฐ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ พุ่งเป้าไปที่การอัดโปรโมชั่นใน “บัตรคนจน” ได้สร้างแต้มต่อจุดกระแสชิงความได้เปรียบกว่าขั้วอำนาจเดิมอย่างเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ไปไม่น้อย
ที่สำคัญจุดพลุการตลาดทางการเมืองถูกงัดมาใช้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สร้าง “การรับรู้” ให้เป็นอีกขาการเคลื่อนไหว จากชื่อโครงการรัฐบาลหลายนโยบายขีดเส้นใต้ 3 เส้นไปที่คำว่า “ประชารัฐ” อาทิ บ้านประชารัฐ โรงเรียนประชารัฐ ตลาดประชารัฐ เนตประชารัฐ ธงฟ้าประชารัฐ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แผนประชารัฐร่วมใจปลอดภัยยาเสพติด โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา โครงการประชารัฐช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
โครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ตามแนวประชารัฐ แผนปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะตามแนวทางประชารัฐ โครงการตู้เติมเงินประชารัฐ ส่วนชื่อโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในสมัยรัฐบาลทักษิณ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐฐานรากตามแนวทางประชารัฐ หรือการออกกฎหมาย พ.ร.บ.การจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
ตัวอย่างการลงพื้นที่ล่าสุดของเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ในฐานะรมว.พาณิชย์ ก็พุ่งเป้าไปที่ตลาดผ้านาข่า อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี เพื่อตรวจเยี่ยมและมอบป้ายไฟแอพพลิเคชั่น “ถุงเงินประชารัฐ” ให้กับผู้แทนร้านค้า “ธงฟ้าประชารัฐ” เพื่อ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” มาแล้ว
ขณะที่การลงพื้นที่ตรวจราชการหรือประชุมครม.สัญจรของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. กำลังฉายภาพผู้ที่เชื่อได้ว่าจะเป็นหนึ่งใน “บัญชีนายกฯ” ในสังกัดพลังประชารัฐ เพื่อเร่งสร้างความนิยมก่อนเปิดตัวอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะการเลิกเหนียมอายประกาศยอมรับต่อหน้าประชาชนที่ จ.บึงกาฬ เมื่อ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา
“แม้ผมยังไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นนักการเมืองเต็มตัวหรือไม่ แต่ด้วยการทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ก็ถือว่าผมเองเป็นนักการเมือง และรู้สึกเป็นทุกข์เวลามีประชาชนมาให้การต้อนรับ เพราะประชาชนคาดหวัง ดังนั้นจึงยอมตายและยอมเป็นทุกข์กับหน้าที่ตรงนี้ เพื่อทำให้ความคาดหวังของประชาชนเป็นจริง”พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
ที่สำคัญพล.อ.ประยุทธ์กำลังสวมหมวกใบที่ 3 ในตำแหน่งว่าที่บัญชีนายกฯ พลังประชารัฐ ต่อจากนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. ทำให้ทุกการออกนโยบายหรือลงพื้นที่ จะถูกทับซ้อนภาพกรรมการ-ผู้เล่นจนแยกออกจากกันไม่ได้
เมื่อรวมกับฟากฝั่งแนวร่วมภายในและนอกพรรคพลังประชารัฐยังเต็มไปด้วยขุมกำลังขนาดใหญ่จากนายทุน นักวิชาการ เครือข่ายมวลชนที่พร้อม “เปิดหน้า” ออกตัวหนุนให้พลังประชารัฐ เข้าไปปักหมุดที่มั่นทางการเมืองในสภา เพื่อกวาดต้อนคะแนนเสียง คว้าชัยเหนือเพื่อไทยและพรรคเครือข่ายคนต่างแดน ส่งบุคคล “ปริศนา” ขึ้นแท่นผู้นำประเทศ เพื่อเขี่ยขั้วอำนาจเก่าออกจากสารบบทางการเมืองในที่สุด
ระหว่างนี้ “พลังประชารัฐ” กำลังเข้าเกียร์เดินหน้าเต็มสูบ เตรียมจัดมหกรรมระดมทุนใหญ่ในวันที่ 19 ธ.ค. ที่อิมแพค เมืองทองธานี ผ่านงานเลี้ยงโต๊ะจีนจำนวน 200 โต๊ะ วางไว้โต๊ะละ 3 ล้านบาท ดีดลูกคิดการระดมทุนครั้งนี้ไว้ที่ 600 ล้านบาท จับตาไปที่คอนเนคชั่น “ทุนหนา” ของแต่ละโต๊ะออกมาเปิดหน้าสนับสนุนพลังประชารัฐเต็มตัว
ยังไม่นับเครือข่าย “มดงาน” เดินเกมในแต่ละท้องถิ่นของจังหวัด ผสานการลงพื้นที่ 4 รัฐมนตรีพปชร.เป็นแนวหน้าขับเคลื่อน ก่อนพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งส.ส.จะประกาศใช้ เพื่อทุ่มสรรพกำลังบนหน้าตัก สยายปีก “พลังประชารัฐ” เป็นอีกหนึ่งขั้วทางการเมืองในวันข้างหน้า