รายงานพิเศษ : จับสัญญาณตั้งรัฐบาล “ตัวแปร” ศึกสุดท้าย “เพื่อไทย–พลังประชารัฐ“
เหลือเวลาอีก 36 วันก่อนถึง 9 พ.ค. ตามปฏิทินที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จะประกาศผลการเลือกตั้ง 24 มี.ค.อย่างเป็นทางการ เป็นเวลา 36 วันที่หลายพรรคการเมืองกำลังเร่งคำนวณสูตรการได้มาส.ส.บัญชีรายชื่อจากคะแนนรวมเลือกตั้งส.ส.เขตทั่วประเทศ

จากตัวเลขที่พรรค “เพื่อไทย” ได้ส.ส. 137 ที่นั่งแต่พรรค “พลังประชารัฐ“ กวาดคะแนนรวมทั้งประเทศถึง8,433,137 เสียงกลายเป็น “ศึกใหม่“ ต่อการรวมเสียงตั้งรัฐบาลเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายประกาศ “ความชอบธรรม” ในฐานะได้เก้าอี้ส.ส.มากที่สุดและคะแนนรวมทั้งประเทศมากที่สุดแต่ฝั่ง “เพื่อไทย” เปิดเกมเร็วรวบรวมเสียง6 พรรคชิงตั้งรัฐบาลได้แล้วไม่ต่ำกว่า 255 เสียง แต่ท่าที “พลังประชารัฐ“ ออกมาประกาศยืนยัน “คะแนนรวม” ทั้งประเทศที่เหนือกว่า “เพื่อไทย“ ถึง 512,507 เสียง ทำให้ความได้เปรียบขณะนี้กลับมาตกอยู่ที่ “ภูมิใจไทย” ในฐานะเสียงพรรค “ตัวแปร” ที่จะกุมอำนาจในการตั้งรัฐบาล
- ดีลหลักกระทรวง“เกรดเอ“
แน่นอนว่าการฟอร์มรัฐบาลแทบทุกครั้ง เป้าหมายกระทรวง “เกรดเอ” จะเป็น “เงื่อนไข” สำคัญเพื่อจับมือร่วมรัฐบาลยิ่งพรรคการเมืองใดถือเสียงส.ส.มากเท่าไหร่ ก็ถือสิทธิเข้าบริหารกระทรวงหลักมากขึ้นเท่านั้น ทว่าจาก “ไพ่” ที่ภูมิใจไทยเคยเข้าเป้าในครั้งทิ้งพรรค “พลังประชาชน” ด้วยวลี “มันจบแล้วครับนาย” เพื่อเข้าร่วมรัฐบาลถึงแม้จะมีเสียงส.ส.น้อยกว่า “ประชาธิปัตย์” แต่เมื่อ “คนโต“ บุรีรัมย์พากลุ่ม “เพื่อนเนวิน” สวิงขั้วมาจัดตั้งรัฐบาล “อภิสิทธิ์” ในครั้งนั้นภูมิใจไทยได้คว้ากระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุขมาบริหารได้สำเร็จ

- ถือความได้เปรียบเลือกตั้งท้องถิ่น
ยิ่งอำนาจ “กระทรวงมหาดไทย” ที่หลายพรรคการเมืองอยากครอบครองจะมีผลต่ออำนาจการเลือกตั้งท้องถิ่นหลายพันแห่งตั้งแต่อบจ. อปท. อบต. โดยเฉพาะตำแหน่ง “ผู้ว่าฯกทม.” จากกลไกเครือข่ายกระทรวงกรมและข้าราชการมหาดไทยทั้งประเทศหากใครที่เข้ามานั่งเก้าอี้ “มท.1″ จะถือความได้เปรียบมากกว่าอีกหลายพรรคการเมืองที่อยู่ในสนามเลือกตั้งเดียวกัน
หากย้อนไปที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาทโดยเฉพาะในส่วนกระทรวง “เกรดเอ” พบว่างบประมาณจำนวนมากลำดับต้นๆ ยังอยู่ที่ “กระทรวงกลาโหม“ วงเงินงบประมาณ 117,583, 067,200 บาท “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” งบประมาณ 25,476,695,800 บาท “กระทรวงมหาดไทย” งบประมาณ 43,927,994,000 บาท “กระทรวงศึกษาธิการ” งบประมาณ 297,355,867,200 บาท

- สูตรคำนวณ ส.ส.มีผลตั้งรัฐบาล
ทำให้เสียงส.ส.ที่ฝั่ง “เพื่อไทย“ ที่ผนึกรวมกับพรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคพลังปวงชนไทย ซึ่งยังเป็นเสียงเกินกึ่งหนึ่งจากจำนวน 500 ที่นั่งในสภาจนถึงขณะนี้ ยัง “ไม่มากพอ” จะสร้างเสถียรภาพเพื่อคานอำนาจ 250 ส.ว. ทำให้โอกาสที่ “พรรคเล็ก” จะถูกดึงมาร่วมวงตั้งรัฐบาลเพิ่มเติมเพื่อแลกกับ 1 เก้าอี้รัฐมนตรี จะยังเปิดกว้างเสมอ ก่อนที่ กกต.จะสรุปผลการเลือกตั้ง 95 % หรือ333 เขตภายใน 9 พ.ค.นี้
ถึงแม้จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แต่ละพรรคถูกคาดการณ์ออกมา ยังเป็นตัวเลข “เบื้องต้น” เท่านั้น เพราะการสรุป “สูตร“ คำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ จากคะแนนดิบที่แต่ละพรรคการเมืองจะ “พึงมี“ ยังต้องรอกกต.ประกาศให้ชัดอีกครั้ง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงตัวเลข ส.ส.เขตใหม่ หากระหว่างนี้ กกต.สรุปสำนวนคำร้อง 264 เรื่องแล้วเสร็จหมายความว่า กกต.จะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. เพื่อให้ “ใบเหลือง-ใบส้ม-ใบแดง-ใบดำ” ซึ่งมีผลต่อคะแนนส.ส.ของแต่ละพรรคการเมืองเพื่อนำไปใช้ “ต่อรอง“ ร่วมรัฐบาล

- ส่งสัญญาณเกมชิงอำนาจ
สำหรับโทษที่ กกต.มีในมือ แบ่งเป็น “ใบเหลือง“ สั่งให้เลือกใหม่แต่ไม่ระงับสิทธิผู้สมัคร “ใบส้ม” สั่งเลือกตั้งใหม่พร้อมระงับสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง 1 ปี “ใบแดง“ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และ “ใบดำ” เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดชีพ ทำให้ “ปัจจัย” กับการ “ลงโทษ” โดยกกต. รวมกับสูตรที่ใช้คำนวณส.ส. ที่ถูกเคาะออกมาให้เห็นจะมีผลต่อ “ดีล” ให้แต่ละพรรคการเมืองนำไปต่อรองเพื่อร่วมตั้งรัฐบาลทั้งสิ้น
ยิ่งเห็นการเคลื่อนไหวของบุคคลสำคัญในประเทศระหว่างที่รอ “กกต.” ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ เป็น “สัญญาณ” ที่ถูกส่งออกมาเพื่อเป็นบันไดเร่งให้สถานการณ์บ้านเมืองถูกตีกรอบด้วย “ชุดความคิด” เพื่อสร้างแนวร่วมให้แต่ละขั้วการเมือง เดินหน้าเปิดศึกชุดใหญ่ในเดิมพันครั้งสุดท้าย