ราคาน้ำมันดิบ WTI บวก 1.3% ปิดที่ 51.65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รับข่าวกลุ่มติดอาวุธบุกยึดบ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของลิเบีย ขณะที่รัสเซียเตรียมลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 5-6 หมื่นบาร์เรล/วัน ในเดือนม.ค.ปีหน้า
เมื่อคืนวันอังคาร (11 ธ.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ปิดบวก 1.3% จากรายงานข่าวที่ว่าลิเบียกำลังเผชิญปัญหาการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ หลังกลุ่มผู้ประท้วงและสมาชิกของกลุ่มปิโตรเลียม ฟาซิลิตีส์ การ์ด บุกเข้ายึดบ่อน้ำมันเอล ชารารา ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
เนชั่นแนล ออยล์ คอปอเรชั่น (NOC) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของรัฐบาลลิเบีย ประกาศภาวะสุดวิสัย (force majeure) ด้านการส่งออกน้ำมันจากบ่อน้ำมันเอล ชารารา (El Sharara) พร้อมระบุว่าการปิดบ่อน้ำมันเอล ชารารา จะทำให้การผลิตน้ำมันต่อวันของลิเบียลดลงประมาณ 3.15 แสนบาร์เรล
อีกทั้งยังส่งผลให้บ่อน้ำมันเอลฟีล ซึ่งมีการผลิตต่อวันอยู่ที่ 7.3 หมื่นบาร์เรล ต้องหยุดลงด้วยเนื่องจากต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจากบ่อน้ำมันเอล ชารารา
สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนหลังจากนายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รมว.พลังงานของรัสเซีย ระบุว่า รัสเซียจะปรับลดการผลิตน้ำมันลงอย่างน้อย 5-6 หมื่นบาร์เรล/วัน ในเดือนม.ค.2562 และทำให้กำลังการผลิตน้ำมันของรัสเซียลดลงเหลือ 11.35 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 11.37 ล้านบาร์เรล/วันในปัจจุบัน
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานสหรัฐ (EIA) โดยผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 ธ.ค.
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ปิดที่ 51.65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.65 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 1.3% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนก.พ. ปิดที่ 60.20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.23 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 0.4%
ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบ ปิดที่ 58.21 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 1.86 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 3.09%
ด้านบมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12 ธ.ค. ว่า ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวหลังบริษัทน้ำมันแห่งชาติลิเบียประกาศ Force Majeure เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อหยุดการส่งออกน้ำมันดิบจาก El Sharara ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เนื่องจากถูกบุกยึดด้วยกองกำลังทหารอาสาสมัคร ส่งผลให้การผลิตน้ำมันดิบหายไป 3.15 แสนบาร์เรล/วัน และอาจกระทบต่อเนื่องถึงโรงกลั่น Zawiya ซึ่งพึ่งการใช้น้ำมันดิบจากแหล่งผลิตนี้อีกด้วย
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงบ่ายดิ่งลง เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ขู่ว่าจะปิดรัฐบาลกลางสหรัฐ หลังถูกแกนนำพรรคเดโมแครต 2 ราย ปฎิเสธข้อเรียกร้องของนายโดนัลด์ในการของบประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างกำแพงที่ชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ครั้งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 2559
ส่วนรัสเซียตั้งเป้าที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงอย่างน้อย 5-6 หมื่นบาร์เรล/วัน ในเดือน ม.ค. 2562 ซึ่งน้อยกว่าระดับที่ตกลงในการประชุมกับกลุ่มประเทศโอเปก (OPEC) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายยังคงจับตาการรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ของสถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐ (API) ว่า จะปรับลดลงราว 3.ล้านบาร์เรลตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้หรือไม่
บมจ.ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI จะเคลื่อนไหวในกรอบ 48-53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 57-62 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับปัจจัยที่น่าจับตามอง ได้แก่ ข้อสรุปการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก ว่าจะตกลงลดปริมาณการผลิตในระดับไหน ,ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านในเดือน พ.ย.2561 ที่มีแนวโน้มปรับลดลง และการที่แคนาดาประกาศให้ผู้ผลิตน้ำมันดิบลดกำลังการผลิตลง 8.7% หรือเท่ากับ 3.25 แสนบาร์เรล/วัน จนกว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังแคนาดาจะลดลง