สนช.เตรียมพิจารณาร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 15 พ.ย.นี้ ที่ดินว่างเปล่า เสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี ส่วนบ้านหลังที่สอง เก็บภาษี 200 บาท/ปี
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 พ.ย.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณาร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ…ในวาระ 2 และ 3 หากที่ประชุม สนช.เห็นชอบ กฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในปี 2562 และเริ่มเก็บภาษีจริงตั้งแต่ 1 ม.ค.2563
ด้าน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) กล่าวว่า กาประชุมสนช.ในวาระพิเศษ วันพรุ่งนี้ (15 พ.ย.) มีกฎหมายสำคัญหลายฉบับที่จะเข้าสู่การพิจาณาของสนช. ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. … และร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นต้น
สำหรับสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. … กำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินเป็น 4 ประเภท คือ ที่ดินเพื่อการเกษตร เพดานเก็บภาษีไม่เกิน 0.15% ต่อปี ที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย เพดานเก็บภาษีไม่เกิน 0.3% ต่อปี ที่ดินเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม เพดานเก็บภาษีไม่เกิน 1.2% ต่อปีและที่ดินรกร้างว่างเปล่า เพดานเก็บภาษีไม่เกิน 3% ต่อปี
ส่วนรายละเอียดการจัดเก็บภาษี เป็นดังนี้ 1.ที่ดินเพื่อการเกษตร สำหรับบุคคลธรรมดาหรือรายเล็ก หากมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับยกเว้นภาษี แต่หากมูลค่าเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป จะเรียกเก็บในส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท โดยคิดอัตรา 1 ล้านบาท ละ 100 บาท เช่น ถ้าที่ดินมูลค่า 60 ล้านบาท จะเก็บภาษี 1,000 บาท/ปี หรือหากที่ดินมูลค่า 70 ล้านบาท จะเสียภาษี 2,000 บาท/ปี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีและลดผลกระทบให้กับเกษตรกรรายย่อย กฎหมายจะยกเว้นการเก็บภาษีในช่วง 3 ปีแรก
ส่วนกรณีที่ดินเพื่อการเกษตรของบริษัทนิติบุคคลรายใหญ่ เช่น ฟาร์ม หรือเกษตรกรรายใหญ่ จะเสียตั้งแต่บาทแรก และไม่มียกเว้นภาษี 3 ปี โดยคิดภาษีอัตรา 1 ล้านบาท ละ 100 บาท เช่น ที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาท จะเสียภาษี 1,000 บาท/ปี หรือหากที่ดินมูลค่า 20 ล้านบาท จะเสียภาษี 2,000 บาท/ปี
2.ที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย กรณีบ้านหลังหลัก ราคาประเมินที่ดินบวกสิ่งปลูกสร้างมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท จะคิดภาษีในอัตรา 1 ล้านบาท ละ 200 บาท เช่น ถ้าบ้านราคาประเมิน 60 ล้านบาท จะเสียภาษี 2,000 บาท/ปี ส่วนบ้านหลังรอง หรือบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไป จะเก็บตั้งแต่ 1 บาทแรก โดยคิดภาษี 1 ล้านบาท ละ 200 บาท/ปี เช่น ถ้าบ้านมีมูลค่า 10 ล้านบาท จะเสียภาษี 2,000 บาท/ปี
ส่วนกรณีอพาร์ตเมนต์และบ้านเช่านั้น ปกติแล้วเจ้าของที่ดินจะเป็นผู้เสียภาษี และเก็บในอัตราสูงสุดไม่เกิน 0.7% แต่จะมีการผลักภาระให้แก่ผู้เช่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ตกลงกัน
3.ที่ดินเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม จะเรียกเก็บภาษีแบบขั้นบันไดอัตราสูงสุดไม่เกิน 0.7% ของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และหากเดิมผู้เสียภาษีมีการเสียภาษีประเภทดังกล่าวอยู่แล้ว แต่อัตราภาษีใหม่สูงกว่าเดิม ภาษีส่วนที่เกินนั้น กฎหมายกำหนดให้มีการบรรเทาภาระภาษีให้เป็นเวลา 4 ปี โดยภาษีปีแรกเก็บ 25% ปีที่สองเก็บ 50% ปีที่สามเก็บ 75% และปีที่สี่เก็บ 100%
ส่วนโรงเรียน โรงพยาบาล และสนามกีฬาเอกชน เช่น สนามกอล์ฟ กฎหมายจะมีการหักค่าลดหย่อนภาษีให้สูงสุดไม่เกิน 90% ของภาษีที่ต้องเสีย เช่น โรงเรียนเอกชนจะลดหย่อนภาษีให้สูงสุด เพราะถือเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนได้เข้าถึงระบบการศึกษาโดยเสมอภาค โดยจะออกเป็นกฎกระทรวงเพื่อเป็นแนวทางให้ท้องถิ่นปฏิบัติตาม
และ4.ที่ดินรกร้างว่างเปล่า กฎหมายกำหนดให้เจ้าของที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ จะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.3% ของราคาประเมิน และทุกๆ 3 ปี จะเสียภาษีเพิ่ม 0.2-0.3% จนครบ 27 ปี โดยมีอัตราภาษีสูงสุดไม่เกิน 3% หากยังไม่ทำประโยชน์ใดๆ จะเสียภาษีในอัตรา 3% แต่หากที่ดินดังกล่าวมีการใช้ประโยชน์ในปีใดปีหนึ่ง ก็จะยกเลิกการเก็บภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่า
โดยที่ดินประเภทเกษตรกรรม สำหรับบุคคลธรรมดาจะยกเว้นการจัดเก็บภาษีสำหรับที่ดินมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทแรก และจะเริ่มจัดเก็บภาษีในส่วนที่จาก 50 ล้านบาทขึ้นไป ในอัตรา 1 ล้านบาท เสียภาษี 100 บาท เช่น ที่ดินประเภทเกษตรกรรม ที่มีมูลค่า 60 ล้านบาท จะเสียภาษี 1 พันบาทต่อปี เป็นต้น โดยในส่วนนี้กฎหมายจะมีการยกเว้นการจัดเก็บภาษีในช่วง 3 ปีแรก เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบให้กับเกษตรกรรายย่อย
รายงานข่าวระบุว่า หากกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว คาดว่าในปีแรก คือ ในปี 2564 ท้องถิ่นจะสามารถจัดเก็บรายได้ 2.9 หมื่นล้านบาท และนับไปอีก 4 ท้องถิ่นจะจัดเก็บรายได้เพิ่ม 3.9-4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากร่างกฎหมายใหม่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก คือ มีทั้งการยกเว้นภาษี ลดอัตราภาษี และเพิ่มค่าลดหย่อน