จากกรณี นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ ศรีบุญหอม อายุ 54 ปี อดีตครูโรงเรียนบ้านม่วงไข่ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร นายสุริยา หรือ ครูอ๋อง นวนเจริญ อายุ 54 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของครูจอมทรัพย์ พร้อมพวกตกเป็นผู้ต้องหาในฐานร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาลและซ่องโจรหลังพยานรื้อฟื้นคดีขับรถชนคนตายเมื่อปี 2548 แต่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานใหม่จึงพิพากษาให้ยกคำร้อง ทำให้มีหลายคนเข้าข่ายปั้นพยานเท็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องเร่งคลี่คลายไล่สอบสวนผู้เกี่ยวข้องทุกคนรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษและกระทรวงยุติธรรมตามที่เสนอข่าวมาโดยตลอด
พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 หัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนการรื้อฟื้นคดีครูจอมทรัพย์ เผยการสอบสวนคดีเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว กลุ่มขบวนการสร้างพยานหลักฐานเท็จ ถูกแจ้งความดำเนินคดี 11 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เกี่ยวข้องกับการรื้อฟื้นคดี แยกเป็น 2 ชุด ชุดแรก 7 คน เข้าข่ายบกพร่องต่อหน้าที่ เตรียมส่งเรื่องให้ต้นสังกัดดำเนินการทางวินัย อีก 7 คน มีความผิดทางอาญาฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เตรียมส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ส่วนรองปลัดกระทรวงยุติธรรมรอดตัวถูกกันไว้เป็นพยาน
ความคืบหน้าการเอาผิดขบวนการสร้างพยานหลักฐานเท็จ เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 21 ธ.ค. ที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 (ศฝร.ภ.4) พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนการรื้อฟื้นคดีครูจอมทรัพย์ กล่าวว่า คณะกรรมการสอบสวน ซึ่ง บช.ภ.4 ได้แต่งตั้งขึ้นได้สอบปากคำผู้ต้องหา พยาน และตรวจสอบเอกสารวัตถุพยานต่างๆที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยทั้งหมด คดีนี้ต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือผู้ต้องหาที่กระทำการเป็นขบวนการร่วมกันแสดงหลักฐานเท็จ และแจ้งความเท็จเป็นพลเรือน 11 รายถูกแจ้งข้อกล่าวหาไปหมดแล้ว
รอง ผบช.ภ.4 กล่าวต่อว่า อีกส่วนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เชิญตัวมาสอบสวน 14 คน เป็นคณะทำงานที่รับผิดชอบในการรื้อฟื้นคดีดังกล่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ แยกเป็น 2 ชุด ชุดที่ 1 จำนวน 7 คน ประกอบด้วย นายนิธิต ภูริคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ พ.ต.ท.อภิมุข ศักดิ์ธนา พ.ต.ท.โพธิวัตน์ ทีมอุดม พ.ต.ท.ปุญธนัช เกตุเทศ ทั้งสามคนเป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการ นายศิวรัช พฤกษ์ไพบูลย์ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการ ,นายพงศา ราตรี นิติกร และนายไอราวัน เศวธครุฑหราฐิ์ นิติกร ซึ่งนายพงศา และนายไอราวัน ไม่ได้มาพบพนักงานสอบสวน ระบุว่าติดราชการต่างประเทศ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงาน แต่มีชื่อในคำสั่งแต่งตั้งเท่านั้น
พล.ต.ต.ธนาศักดิ์กล่าวอีกว่า ชุดที่ 2 จำนวน 7 คน ประกอบด้วย นายชาติชาย โทสินธิติ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ หัวหน้าคณะทำงาน, พ.ต.ต.สมพงษ์ เชื้อมหาวรรณ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ คณะทำงาน นายบารมี จันทรพิสัย พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ คณะทำงาน และ พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ คณะทำงาน พ.ท.ณพลพงศ์ กมลอาสน์ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการพิเศษ นายธิตินัย พาติกบุตร เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการพิเศษ คณะทำงานและเลขานุการ นายสุรศักดิ์ คำเรียง เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชำนาญการพิเศษ คณะทำงานและเลขานุการ
หัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนกล่าวว่า จากการสอบสวนได้ข้อสรุปชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอชุดที่ 1 บกพร่องต่อหน้าที่ ต้องแจ้งให้หน่วยต้นสังกัดได้รับทราบถึงความไม่รอบคอบ ไม่ใช้ความสามารถในการสืบสวนข้อเท็จจริงจนเกิดความเสียหาย ต้องดำเนินการทางวินัยต่อไป
ส่วนเจ้าหน้าที่ชุดที่ 2 เป็นผู้ที่มีหน้าที่แล้วไม่ทำถือว่าละเว้น พนักงานสอบสวนจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ คาดว่าอีก 1-2 วัน ทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อย
สำหรับ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่กำกับควบคุมหน่วยงาน ที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องของนโยบาย ส่วนรายละเอียดที่ลูกน้องไปทำในเชิงลึกอาจจะไม่ทราบ จึงกันไว้เป็นพยานเช่นเดียวกับนายยอดมงคล ทรัพย์ไพศาลสุข ทนายความจากกระทรวงยุติธรรม ถูกกันไว้เป็นพยานด้วย ขณะนี้การทำงานของตำรวจได้เสร็จสิ้นและสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ภายในสัปดาห์นี้ บช.ภ.4 จะส่งเรื่องให้กับกระทรวงยุติธรรมได้รับทราบถึงผลการสอบสวนเพื่อดำเนินการตามระเบียบต่อไป และจะสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการเพื่อสั่งฟ้องผู้ต้องหาต่อไป
อ่านต่อ : ส่งฟ้อง ‘สับและเมีย’ คดี “ครูจอมทรัพย์” วันนี้!
