ตำรวจกองปราบปรามนำหมายค้นเข้าค้นวัดกุฎีทอง อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อหาพยานหลักฐานที่อดีตพระครูวิลาสกิจจานุกลู หรือพระครูกิตติ พระชื่อดังผู้ที่ขโมยพระพุทธรูปโบราณสามองค์ของวัดตราชู ซึ่งตอนนี้ อดีตรูปนี้ ได้ถูกตำรวจจับกุมถอดจีวร ถูกคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพไปเรียบร้อย จากการหาหลักฐานเพิ่มเติม ก็ไปพบกับเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการประมูลงานก่อสร้างต่างๆที่อยู่ในจังหวัดสิงห์บุรี นอกจากนี้ ยังทราบว่า อดีตพระครูกิตติยังเป็นเจ้าพ่อฮั้วประมูลรายใหญ่ในจังหวัดสิงห์บุรี อีกด้วย
การเข้าตรวจค้นภายในกุฏิในวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตกใจในหลักฐานที่ได้ มีทั้งเอกสารการจัดการประมูลงานก่อสร้างต่างๆ โครงการของหน่วย งานรัฐฯทั้งสิ้น โครงการฯเหล่านี้มีทั้งในจังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดอื่นๆ ซึ่งก็ตรงกับข่าวที่ได้มาและจากการสืบสวน ว่าพระครูกิตติ ใช้ผ้าเหลืองบังหน้า แต่เบื้องหลังมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างและยังสืบทราบมาอีกว่าเป็นเจ้าพ่อฮั้วประมูลรายใหญ่อีกด้วย แต่อีหลักฐานหนึ่งที่ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตกใจมากกว่าคือการค้นพบ เอกสาร โผโยกย้ายข้าราชการเป็นจำนวนมาก มีการส่งประวัติการทำงาน ผลงานต่างๆ รวมถึงตำแหน่งและสถานที่ขอย้าย จึงเป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าเป็นพระแต่ทำไมมีอำนาจสูงสามารถสั่งย้ายข้าราชการได้ สามารขอเลื่อนตำแหน่งได้
นอกจากนี้ ยังพบเอกสารสำคัญอีกหนึ่งชิ้นที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงท่านหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี และยังมีข้อความทีพูดคุยกันในแชทไลน์ ระหว่างนายตำรวจท่านนี้กับพระในวัดกุฎีทอง เรื่องการสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนของกองปราบที่มาทำคดีนี้ รวมถึงเรื่องการวางแผนสั่งการให้นักข่าวท้องถิ่นออกมาทำข่าวแก้ต่างให้กับผู้กระทำผิด ติดต่อสั่งการให้นักการเมืองท้องถิ่นที่เป็นพวกเดียวกันทำหน้าที่หาข่าว และการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จใส่ร้ายผู้อื่นอีก หลังจากที่ได้หลักฐานจากการตรวจค้นไปแล้วก็ได้นำหลักฐานมาตรวจเพื่อขยายผลต่อไป
ขณะเดียวกัน ก็มีชาวบ้านและพระสงฆ์จากวัดศรีสาคร เดินมาที่วัดกุฎีทอง เพื่อมาขอตรวจดูพระพุทธรูปที่อยู่ในกุฏิของ อดีตพระครูกิตติ เนื่องจากวัดศรีสาคร ก็เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีพระพุทธรูปโบราณถูกโจรกรรมไปจากวัดฯ ชาวบ้านจึงอยากจะขอตรวจดูว่ามีของวัดศรีสาครรวมอยู่ในนี้หรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้ขอให้ส่งตัวแทนเข้าไปดูของกลางได้เป็นบางส่วน เนื่องจากหลักฐานยังมีอีกหลายจุดจึงไม่สามารถนำมาให้ดูได้ทั้งหมด จึงได้ขอความร่วมมือจากชาวบ้านว่า หากวัดไหนมีภาพถ่ายของพระที่หายไปก็ขอให้นำภาพมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ แล้วจะนำภาพถ่ายไปเปรียบเทียบ เมื่อตรวจสอบแล้วว่ามีความใกล้เคียงกันก็จะแจ้งให้ทราบ