สภาวะภัยแล้งฝนทิ้งช่วงยาวนาน แหล่งน้ำตามธรรมชาติแห้งขอด ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบขยายวงกว้างกว่า 1 ล้านไร่ โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด อ้อย วอนเกษตรกรวางแผนใช้น้ำอย่างประหยัด และมีคุณค่า
วันนี้ ( 19 ก.ค.62 ) นายวีระชัย เข็มวงษ์ เกษตรจังหวัดพิจิตร ได้เปิดเผยว่า จังหวัดพิจิตร มีพื้นที่เพาะปลูกทำเกษตร จำนวน 2 ล้าน 2 แสนไร่ โดยมีพื้นที่ปลูกข้าวจำนวน 1 ล้าน 7 แสนไร่ ส่วนที่เหลือจะเป็นพืชไร่ และพืชสวน ซึ่งจากสภาวะฝนทิ้งช่วง เกิดภัยแล้งมายาวนาน ตั้งแต่เข้าสู่ฤดูฝนในช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน คือเดือนกรกฎาคม โดยที่ผ่านมามีปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในพื้นที่ค่อนข้างน้อย ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกทำการเกษตร ประกอบกับแหล่งน้ำตามธรรมชาติแห้งขอด ซึ่งเกษตรจังหวัด และเกษตรอำเภอ ได้ลงพื้นที่สำรวจทั้ง 12 อำเภอ ล่าสุดพบพื้นการเกษตรที่ขาดแคลนน้ำ ได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่เป็นนาข้าว ที่เกษตรกร เพิ่งลงมือเพาะปลูกไปเมื่อช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา
โดยคาดว่าผลผลิตจะเสียหายจำนวน 9 แสนไร่ และเสียหายสิ้นเชิง 2 หมื่นไร่เศษ ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวสายพันธุ์หอมมะลิ 105 ในพื้นที่อำเภอสากเหล็ก วังทรายพูน ทับคล้อ และอำเภอดงเจริญ สำหรับพืชไร่ ประกอบไปด้วย ข้าวโพด มันสำประหลัง และอ้อย ขาดแคลนน้ำลำต้นและผลผลิตออกมาไม่สมบูรณ์แคะแกร็น คาดว่าผลผลิตจะเสียหาย จำนวน 65,000 ไร่ ส่วนพืชสวนที่ได้รับความเสียหายนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสวนมะม่วง ผลไม้เศรษฐกิจส่งออก ที่มีชื่อเสียงของตำบลวังทับไทร อำเภอสากเหล็ก เสียหายไปจำนวน 2 หมื่นไร่ นอกจากนี้ยังมีพืชผัก อีกจำนวน 1 หมื่นไร่ในพื้นที่อำเภอบึงนารางอย่างไรก็ตามหากในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ฝนไม่ตกลงมาภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ หรือตกมาด้วยปริมาณน้อยก็ตาม จะส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรดังกล่าวข้างต้นเสียหายขยายวงกว้างเพิ่มมากขึ้นอีกรวมกว่า 1 ล้าน 5 แสนไร่
เกษตรจังหวัดพิจิตร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในเบื้องต้นจังหวัดพิจิตร ได้ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินจากสภาวะภัยแล้งฝนทิ้งช่วง ในพื้นที่อำเภอสากเหล็ก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง จำนวน 2 หมื่นไร่ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นใช้ระยะเวลาปลูกหลายปีจึงจะได้ผลผลิต โดยมีเกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว 79 ราย รวมเป็นเงิน 3 แสน 9 หมื่นบาทเพื่อนำไปฟื้นฟูผลผลิต ในส่วนพื้นที่เพาะปลูกข้าว และ พืชไร่ รวมทั้งพืชผักอื่นๆ อยู่ระหว่างการสำรวจยืนยันความเสียหายเพิ่มเติม เพื่อเตรียมข้อมูลเสนอให้ความช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป
อย่างไรก็ตามในสภาวะฝนทิ้งช่วงนี้ขอให้เกษตรกรควรวางแผนการเพาะปลูก และการใช้น้ำ หรือกักเก็บน้ำไว้ใช้อย่างประหยัด และมีคุณค่า