จตุพร ปัดกระหายสงคราม-รัฐประหาร ลั่นปัญหาทั้งหมดเกิดจาก ทักษิณ ชี้ไทยต้องไม่ซ้ำรอยเขาพระวิหารเด็ดขาด
7 มิ.ย.68 ที่สถานีพีซทีวี รามอินทรา 40 นายจตุพร พรหมพันธุ์ คณะหลอมรวมประชาชน และนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายนกเขา นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมด้วย วิทยากรอื่นๆ ร่วมกันแถลงข่าวกิจกรรมในหัวข้อเมื่อประเทศไทยมีปัญหา ถึงเวลาของคนไทยทุกคน ที่ต้องมาร่วมกันทำวาระเพื่อชาติ
โดยนายนิติธร กล่าวถึงการจัดกิจกรรม ว่าเมื่อประเทศไทยมีปัญหา ถึงเวลาของประชาชนคนไทยทุกคน มาทำวาระเพื่อชาติมาร่วมกันออกแบบ มาร่วมกันคิด นอกจากนำเสนอพูดถึงปัญหาของบ้านเมืองแล้ว เรากำลังชวนพี่น้องประชาชนที่กำลังคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอของประเทศ เราจะปล่อยให้แผ่นดินนี้เป็นสมรภูมิของผลประโยชน์ เฉพาะนักการเมือง นักกลุ่มทุนไม่ได้ เป็นเวลาที่เราต้องคิดว่าเราจะเอาหลักธรรมขึ้นมาสู่การปกครองได้อย่างไร มามีส่วนร่วมส่วนสำคัญในการปกครองได้อย่างไร วันนี้ถ้าเราดูตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลนี้ สภาแห่งนี้ ขัดรัฐธรรมนูญทุกๆคน ในมาตรา 160 กำหนดว่า คนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งต้องซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ วันนี้เราดูหน้าคนไหนแล้วเราเห็นตามนี้บ้าง อีกข้อต้องไม่ประพฤติผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เราเห็นคนไหนบ้างไม่มี ฉะนั้นเราดำรงอยู่กับการจัดรัฐธรรมนูญแต่เราต้องการรัฐธรรมนูญ เราต้องการประชาธิปไตย หัวใจสูงสุดของการปกครองคือ เพื่อประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติ ความผาสุกของแผ่นดิน วันนี้ไม่มีทั้งสิ้น จึงเป็นวาระของประชาชน ที่จะต้องมาพูดคุยนำเสนอกัน และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
จากนั้นนายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้มีสถานการณ์ที่ชี้ชะตาของประเทศอยู่ โดยเฉพาะกรณีไทย- กัมพูชา ซึ่งต้นเคยพูดว่าถ้าไทยกับกัมพูชาจะมีปัญหากันได้นั้นจะต้องไม่ใช่วันที่ตระกูลชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะ 2 ครอบครัวนี้สนิทกันมาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีบ้านอยู่กรุงพนมเปญ ลูกของน้องสาวก็เป็นดอง กับผู้แทนที่กัมพูชา
โดยส่วนตัวก็รู้จักนายฮุน เซนและนายฮุณมาเนต แต่พวกเราก็แยกแยะได้ระหว่างการรู้จักส่วนตัว กับเรื่องผลประโยชน์ชาติ โดยเฉพาะเรื่องดินแดน
ดังนั้นการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สะท้อนให้เห็นซึ่งความอ่อนแอมาโดยตลอด และเป็นการพูดในลักษณะที่เสียเปรียบ เมื่อนายทักษิณบอกว่าพูดคุยกันอย่างสนิทสนมกับนายฮุน เซน บอกว่าจะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามตะกร้อซึ่งไม่มีใครขำด้วย แม่บอกว่าจะทำให้พื้นที่เป็น No man’s land นายภูมิธรรมและบอกว่าไม่ใช่การรุกล้ำพื้นที่ ถ้าเป็น No man’s land จริงไม่มีใครมีสิทธิ์เข้า แต่การไปสารภาพยอมรับว่า ไม่มีการรุกล้ำพื้นที่นั้น กัมพูชาเขาต้องการแค่นี้จึงลากไปศาลโลก และแม้ว่าไทยไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลก แต่การสร้างความชอบธรรมในกระบวนการอื่นๆจากความอ่อนแอของนายกรัฐมนตรี ทั้ง พูดไม่รู้เรื่อง ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์การเมืองที่สุ่มเสี่ยงจะต้องเสียดินแดน เพราะเราเป็นประเทศที่เสียดินแดนมากกว่าที่เหลืออยู่ และจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวอีกต่อไป
แต่การออกแถลงการณ์เรียงตามลำดับไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแรงของประเทศนี้ แม้กระทั่งนายภูมิธรรม ออกแถลงการณ์เมื่อช่วงเวลา 7:00 น. ก็ยังไม่ได้แสดงว่าประเทศแข็งแรง จนกระทั่งผู้บัญชาการทหารบก ออกคำสั่งให้ กองกำลังบูรพา กองกำลังสุรนารีพิจารณาเปิด-ปิดด่าน ชายแดน และอีกไม่กี่วันข้างหน้าตนเชื่อว่าแม่ทัพภาคที่ 2 จะประกาศใช้กฎอัยการศึก ตามตะเข็บชายแดน
“การที่เราได้รัฐบาลที่มีความอ่อนแอ ในวันที่เราต้องการความเข้มแข็ง แน่นอนไม่มีใครกระหายสงคราม ตามที่มีการปลุกเรื่องการกระหายสงคราม แต่บทเรียนของเราการเจรจาระหว่างรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของ 2 ชาติที่สระแก้วนั้น ที่นายกบอกว่า ok ok แต่ท้ายที่สุดทางกัมพูชาปฏิเสธทุกข้อ แล้วเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ประเทศเขาได้นักรบปกครอง บ้านเมืองเราได้นัดอะไรก็ไม่รู้ปกครอง จนกระทั่งปัจจุบัน ไม่มีความเท่าทัน ในการที่จะทำหน้าที่ปกป้องดินแดน” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร ยังกล่าวด้วยว่าเรื่องนี้ตนเชื่อว่าประชาชน คนกัมพูชาทำงานในไทย คนไทยที่ทำงานในกัมพูชา ขออย่าให้มีปัญหาซึ่งกันและกันนี่เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับรัฐ กองทัพกับกองทัพ และการออกมาเรียกร้องในเรื่องดินแดน ไม่ใช่การเรียกร้องรัฐประหาร ตามที่มีการปั่นกระแสกันอยู่ ถ้าคนไทยประเทศนี้เงียบเพราะกลัวการทำรัฐประหาร เพื่อแลกกับการเสียดินแดนนั้นเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้เลย
นายจตุพร ยังกล่าวด้วยว่าในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ จะมีการประกาศแสดงจุดยืน แต่เมื่อเรามองเห็นว่าปัญหาของชาติมาจากพ่อของนายกรัฐมนตรี วันที่ 11 มิถุนายนนี้ ก็จะเดินทางไปที่แพทยสภา ในเวลา 10:00 น. เพราะนี้จะเป็นเรื่องจุดเปลี่ยน เชื่อว่า เกิน 60 เสียงในแพทยสภา ที่จะยืนตามมติเดิม โต้กลับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่วนวันที่ 13 มิถุนายนนั้น ที่ศาลฎีกานัดพร้อมและไต่สวน
“ผมขอทายท้านายทักษิณ ว่าให้แสดงความกล้าหาญท่านพูดถึงผม ว่า ผมนี่เข้าป่าไปแล้วแต่ว่าท่านกล้าไปศาลหรือไม่ ที่พูดอวดดีตามที่ต่างๆนั้น ขอถามว่าจะไปที่ศาลฎีกาหรือไม่ ผมไม่ต้องการฟังเหตุผล ว่าป่วยอีกแล้ว ถ้าไปต้องไปในวันนั้น และถ้าศาลพิจารณาเสร็จในวันนั้นก็น้อมรับ คำสั่ง จึงจะได้เป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ไปเก่งตามงานวันเกิด หรือตามงานต่างๆ แต่งานที่ตัวเองจะต้องรับผิดชอบ ในฐานะที่เคยเป็นผู้นำประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 ครั้งนั้น ควรจะต้องใช้ความกล้าหาญ กล้าประกาศว่าหัวเด็ดตีนขาดตายเป็นตายคุกเป็นคุกเลยไหม ว่าวันที่ 13 นี้ จะไปที่ศาลฎีกา” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพรยังกล่าวต่อว่าประเด็นสุดท้ายที่ทางกัมพูชานัดประชุม JBC ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งกัมพูชายืนยันว่าจะไม่เอา 4 เรื่องเข้า ทางกัมพูชาเขาบอกเขาไปศาลโลกอย่างเดียว แต่ทางการไทยยังซื้ออยู่ทั้งที่ไม่มีวาระนี้แล้ว ส่วนที่นาย ภูมิธรรม ยากจะไป ก็คงต้องยอมให้ทางเขมรเขาไป
“หลักการในเรื่องการปักปันเขตแดน ตรงไหนตกลงกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ จะไม่มีใครมีสิทธิ์เข้าไป และตกลงกันว่าวันใดที่จุดนั้นมีความเจริญเท่าเทียมกัน ค่อยมาเจรจากันอีกครั้ง แต่ไม่ใช่มาขุดคูเรด ในเขตพื้นที่อ้างสิทธิ์กันได้ นั่นคือการรุกล้ำ และแสดงความเป็นเจ้าของ และหลังจากที่นายภูมิธรรมไป เจรจารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรองนายกกัมพูชา เขากลับไปออกแถลงการณ์ ไม่ถอนกำลัง และไม่ถอย ประเทศไทยก็ไม่มีมาตรการใดๆ เมื่อเขาครอบครองก็มีหลักการเดียว เหมือนกฎหมายปิดปากกรณีปราสาทเขาพระวิหาร เราจะไปเสียโง่ซ้ำประเด็นเดิมๆนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นหัวใจหลักของเรื่อง ในประเทศไทยวันที่ 12-13 นั่นคือจะเปลี่ยนที่สำคัญ และถ้าคุณทักษิณให้ความร่วมมือก็ไปที่ศาลฎีกา ส่วนหลังจากไปใช้ชีวิตในเรือนจำ ตนเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยไม่ไป” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ในบ้านเมืองที่เกิดการเสียดินแดนเพราะทัศนคติของคน ในชาติ เพราะฉะนั้นวันนี้เราในฐานะเป็นคนไทยที่มองเห็นว่าเศรษฐกิจก็พัง การเมืองก็พัง ขบวนการยุติธรรมก็พัง และจะเสียดินแดนอีกนั้น ดังนั้นจึงถึงเวลาที่คนไทยต้องทำหน้าที่
” ขอย้ำว่า นี่คือการปกป้องประเทศ ไม่ใช่การเรียกร้องรัฐประหาร การไม่รักชาติแล้วอ้างว่าคนที่เขารักชาติเรียกร้องรัฐประหารในแผ่นดินนี้ ถ้าจะมีใครเรียกร้องรัฐประหารนั้นก็มีทางเดียว คือความอ่อนแอของตัวนายกรัฐมนตรี การ สทร.ทุกเรื่องของพ่อนายกฯ การไม่รู้จักหน้าที่ของรองนายกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั่นคือการเรียกรัฐประหารตัวจริง คนไทยมีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน เช่นเดียวกับทหารที่เขาต้องทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นอย่าไปโทษใครการทำหน้าที่ของรัฐบาล อ้างความสนิทสนม นี่นายกพึ่งไปที่กัมพูชามา เราก็มีปัญหากับดินแดน ก่อนหน้านี้ไปจีนมา นักท่องเที่ยวจีนหายหมด ขอร้องอย่าไปที่ไหนอีก”นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร ยังกล่าวว่า ในภูมิภาคนี้ทางกัมพูชามีความมั่นคงภายในมากที่สุด หากไปทางฝั่งมาเลเซีย นายอันวาร์ ไม่ได้แข็งแรงแบบซีกกัมพูชา และวันที่ 13 มิ.ย. เชื่อขนมกินได้ว่านายทักษิณ ไม่ไป ตนอยากทายผิด อยากหน้าแตก แต่ตนเชื่อว่าเขาไม่ไป ฉะนั้น ช่องทางตะเข็บไทยกัมพูชา มีช่องทางจำนวนมากที่จะออกไปได้ หากมีความปล่อยปละละเลย และที่ผ่านมาการออกนอกประเทศของนายทักษิณ แม้กระทั่งของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถ้าไม่ร่วมมือกันกับผู้มีอำนาจ ไม่มีวันที่จะออกได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกันสถานการณ์ขณะนี้ช่องทางธรรมชาติ กองกำลังบูรพา หรือสุรนารี ย่อมที่จะรู้กันเป็นอย่างดีว่ามีช่องไหนบ้าง ดังนั้น ตนก็ยังเห็นว่าถ้าจะมีการออกนอกประเทศ ช่องทางเดียวเท่านั้นคือกัมพูชา
“แม้ว่าคนทั่วไปเรื่องสงคราม แต่ดูบริบทของคุณทักษิณ หรือคุณอุ๊งอิ๊ง จะเห็นว่าไม่มีอะไร ผมรู้จักซีกฝั่งนั้น ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ฝั่งเขาก็มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเขา ฝั่งเราก็มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเรา การรู้จักกับการเสียดินแดนเป็นเรื่องที่แลกกันไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ฝั่งเขารู้จักการแยกแยะ ฝั่งไทยไม่รู้จักการแยกแยะได้อย่างไร และเราจะมาตามใจผู้นำให้ไปทำหน้าที่อย่างนั้นก็ไม่ได้ ถ้าจะออกนอกประเทศ ถ้าเป็นทางบกหรือทางเรือ คิดมาทางซีกฝั่งกัมพูชา อันวาร์ทางมาเลเซียรับมือไม่ไหว”นายจตุพร กล่าว