หลังจากการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม คนไทยและประชาคมโลกย่อมคาดหมายว่าทุกฝ่ายในสังคมไทย รวมทั้งกองทัพจะร่วมมือกันในการสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลและรัฐสภา เพื่อเป็นกลไกในการปกครองประเทศตามหลักการของระบอบประชาธิปไตย แต่กลับปรากฏว่าได้เกิดกระแสกดดันต่อพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับที่ 3 ในการเลือกตั้ง โดยนำเอาหน้าที่ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติมาเป็นข้ออ้าง และสร้างความรู้สึกโกรธเคือง และเกลียดชังต่อพรรคการเมืองดังกล่าว ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
การสร้างความเกลียดชังที่คนไทยกระทำต่อกัน สามารถที่จะนำไปสู่การนองเลือด และการสูญเสียทางจิตใจอย่างใหญ่หลวง และยังทำให้สังคมไทยถูกประณามจากสังคมโลก กลายเป็นอุปสรรคของการลงทุนและการท่องเที่ยว จนทำให้เศรษฐกิจของประเทศต้องทรุดโทรมลงจนยากจะเยียวยาด้วย
ทุกฝ่ายทุกสถาบันในสังคมไทยจึงควรปล่อยให้การจัดตั้งรัฐบาล และรัฐสภาดำเนินไปตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยโดยไม่เข้าไปแทรกแซง และไม่ใช้วิธีการโจมตีคู่แข่งทางการเมือง แต่ควรแข่งขันกันในเชิงนโยบาย และการเสนอโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
แท้ที่จริงแล้วในระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองทุกคนและพรรคการเมืองทุกพรรค มีสิทธิและเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการเสนอนโยบายให้ประชาชนพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่แต่ละฝ่ายจะมีความเห็นแตกต่างกัน และบทบาทในอดีตของนักการเมืองที่นำเสนอความรู้ ความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆ ในฐานะที่เป็นนักวิชาการ ก็ไม่ควรถูกนำมาเป็นข้อโจมตีในปัจจุบัน เพราะเป็นการทำหน้าที่ของนักวิชาการที่ยึดมั่นในหลักการของเสรีภาพทางวิชาการโดยมิได้ละเมิดกฎหมายใดๆ