อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ พรรครวมไทยสร้างชาติ จี้! ‘ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ รับผิดชอบ เป็นต้นเหตุทำ ‘ชาดา-พิเชษฐ์’ โต้เถียงในสภาเดือด
วันที่ 16 ก.พ. 2567 ด้าน นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีการเสนอญัตติด่วน ด้วยวาจาเกี่ยวกับการ ทบทวนมาตรการ การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ จนนำไปสู่การตอบโต้ในสภาฯ มาระหว่าง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ว่า กรณีนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น และต้องย้อนกลับไปดูจากสาเหตุว่าเกิดมาจากอะไร
ซึ่งในการประชุมวันนั้นขณะที่มี ส.ส.พรรคก้าวไกล ท่านหนึ่งมีการอภิปรายออกนอกประเด็นของญัตติตามที่ผู้เสนอตั้งใจ โดยตนในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติเจ้าของญัตติได้ลุกขึ้นทักท้วงแล้วว่า การอภิปรายของ สส. คนดังกล่าวอภิปรายนอกประเด็นในญัตติ โดยเฉพาะการไปกล่าวถึงการปะทะกันระหว่างบุคคล 2 กลุ่ม เพราะเชื่อว่าจะทำให้การประชุมไม่ราบรื่น จะมีการประท้วงและตอบโต้กันไปมา
นายอัครเดช กล่าวว่า แต่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมอยู่ขณะนั้นกลับได้ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าให้สามารถอภิปรายต่อได้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นผลต่อเนื่อง ทั้งที่โดยหลักหลักการแล้วประธานควรต้องฟังเจ้าของญัตติที่แถลงด้วยวาจาว่ามีเจตนารมณ์อย่างไร เพราะการวินิจฉัยของประธานมีความสำคัญต่อการควบคุมการประชุมให้ราบรื่น หรือเกิดความวุ่นวาย ซึ่งวันนั้นเมื่อนายปดิพัทธ์วินิจฉัยเสร็จก็ได้สลับการทำหน้าที่ประธานให้นายพิเชษฐ์ และทำให้นายพิเชษฐ์ต้องใช้คำวินิจฉัยของนายปดิพัทธ์ที่ผิดวัตถุประสงค์ของผู้ที่ยื่นญัตติมาใช้ควบคุมการประชุมต่อ จนทำให้เกิดความวุ่นวายเสียหายต่อภาพลักษณ์ของสภาผู้แทนราษฎรและบุคคลทั้ง 2 ท่าน

นายอัครเดช กล่าวต่อด้วยว่า วันนั้นหากนายปดิพัทธ์ได้ฟังคำทักท้วงของตน ที่ลุกขึ้นทักท้วงในที่ประชุม ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติเจ้าของญัตติ ว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะให้ไปอภิปรายถึงการปะทะกันของบุคคล 2 กลุ่มคือ ผู้ที่ก่อกวนขบวนเสด็จกับกลุ่มที่ออกมาแสดงออกที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำ แต่ยังใช้ดุลพินิจให้อภิปรายต่อได้ จนเกิดปัญหาความไม่เรียบร้อยไปสู่สายตาประชาชน ทำให้การประชุมมีปัญหาและผิดไปจากเจตนารมณ์ของผู้เสนอ ดังนั้นกรณีนี้นายปดิพัทธ์จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร
“ผมจึงขอถามหาความรับผิดชอบของนายปดิพัทธ์ ในฐานะที่เป็นประธานการประชุมขณะนั้น ที่มีการวินิจฉัยทิ้งไว้จนทำให้การประชุมไม่ราบรื่น กระทบภาพลักษณ์สภาฯ ทำให้สภาผู้แทนราษฎรเสียหายในสายตาประชาชน และยังทำให้ท่านชาดา และท่านพิเชษฐ์ต้องออกมาโต้แย้งกัน จนเป็นภาพให้ทั้งสองฝ่ายโดนสังคมและสื่อโซเชียลถล่ม โดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีทั้งที่ชื่นชมและตำหนิซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น และน่าเห็นใจทั้ง 2 ท่านเป็นอย่างยิ่งที่ต่างมีเจตนาดีต่อกันตลอดมา แต่ต้องมาขัดแย้งกันในประเด็นที่ไม่ควรเกิดขึ้นในการประชุมญัตตินี้ที่เจ้าของญัตติได้มีความห่วงใยระมัดระวัง และพยายามป้องกันไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาตั้งแต่ต้น” นายอัครเดช กล่าว
ซึ่งสืบเนื่องจาก วานนี้ (15 ก.พ.) นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นอภิปรายตำหนิการทำหน้าที่ของนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อช่วงเช้า ซึ่งกล่าวหาว่าตนเองพูดว่า นายพิเชษฐ์ ทำหน้าที่ไม่เป็นกลางว่า เป็นการกล่าวหาที่รุนแรง ตนเองไม่ได้พูดว่านายพิเชษฐ์ลำเอียง จากเหตุที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำรูปคู่ตนเองกับกลุ่มอาชีวะราชภักดี มาประกอบการอภิปราย
“ผมถือว่าเรื่องจบไปแล้ว แต่ท่านไม่จบจึงต้องมาพูดต่อ คำแถลงของประธานเมื่อเช้านี้ไม่เหมาะสม ผมไม่ได้อยู่ในที่ประชุม ท่านไม่จบแต่ผมจบแล้ว ผมทำหน้าที่ของผมตรงนั้นแล้ว และไม่ได้ว่าลำเอียง เรารักชอบพอกัน แต่ท่านประธานไม่จบ จึงขอให้ออกแนวทางในการปฏิบัติมาด้วย พรรคภูมิใจไทยเคยเสนอรูปภาพเป็นภาพ AI แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ หากลักษณะนี้ได้รับการอนุมัติก็เป็นแนวทางที่จะได้ทำงานต่อไปในวันข้างหน้า” นายชาดา กล่าว
ก่อนที่นายพิเชษฐ์ จะนำเข้าระเบียบวาระต่อไป
นายชาดา กล่าวว่า “ประธานอยากคุยกับผมข้างนอกใช่หรือไม่ เชิญได้เลยครับ”
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า “ขอทำหน้าที่ของผมก่อน ผมไม่ใช่นักเลง ไม่ใช่เจ้าพ่อ”
นายชาดา กล่าวว่า “ประธานพูดเอง แล้วใครนักเลง”
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า “เดี๋ยวผมทำหน้าที่เสร็จ เจอกันข้างนอก”
นายชาดา “ครับ เจอกันตอนไหนก็ได้” พร้อมขอให้นายพิเชษฐ์ถอนคำว่า “นักเลง” และลุกออกจากห้องประชุม