พ่อ-ญาติระอา หญิงร่วมสามีฆ่าล้างหนี้ บอกชาวบ้านรู้พฤติกรรมสุดแสบก่อนเป็นคดีดัง
ย่ายังโดน หญิงร่วมมือสามีฆ่าล้างหนี้ เพิ่งเคยได้เงินหมื่นของรัฐ แฮคเฟซหลอกตบเงินถึงบ้าน พ่อบอกไม่เคยรู้พฤติกรรมลูกสาวกับสามี ใช้ชีวิตอย่างไรทำใจบอกเลี้ยงได้แต่ตัว ส่วนญาติบอกฝ่ายหญิงก่อเหตุทั้งลักทั้งโกงจนชาวบ้านรู้พฤติกรรม แต่ไม่คิดจะโหดแบบนี้ ขณะเจ้าหน้าที่ระดมงมคลองชลประทานหาอวัยวะที่ถูกอ้างมาโยนทิ้งน้ำ ตั้งแต่บ่ายยันค่ำตามคำให้การแต่ยังไม่พบ
วันที่ 22 มีนาคม 68 จากกรณีมีการพบศพของนางสาวปิยะวรรณ พงษ์เภา อายุ 22 ปี หรือแอน ถูกฆ่าแล้วหั่นศพฝังดินไว้หลังบ้านที่นางสาวภัทราภรณ์ ลำจวนอายุ 21 ปี หรือ มิ้ลค์ ภายในบ้าน อ. ดอนตูม จ.นครปฐม พักอาศัยอยู่กับ นายณรงค์ชัย สุวรรณแก้ว หรือ เลย์ อายุ 26 ปี สามี
หลังจากญาติได้มีการแจ้งความคนหายไว้เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 68 ที่ผ่านมา โดยมีเบาะแสว่าจะมาทวงหนี้ที่บ้านของนางสาวปิยะวรรณ หรือแอน โดยเชื่อว่าถูกหลอกให้โอนเงินเป็นค่าฝากเข้าทำงานที่โรงพยาบาลนครปฐม หลายครั้งแต่ไม่สามารถฝากเข้างานได้ และหายตัวไปก่อนจะมาพบเป็นศพในวันนี้ โดยทั้งนางสาวปิยะวรรณและนายณรงค์ชัย ได้ถูกจับกุมตัวหลังจากหนีไปกบดานที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้ โดยสารภาพว่ามีการฆ่าหันศพฝังดินและมีการนำชิ้นส่วนต่างๆ ไปโยนทิ้งที่คลองชลประทาน ในพื้นที่ เชื่อมต่อระหว่างอำเภอเมืองนครปฐมและอำเภอดอนตูมห่างจากบ้านที่พบอวัยวะส่วนแรกประมาณ 300 เมตร

โดยช่วงบ่ายเมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวได้มีการรวมตัวมา ที่บริเวณคลองชลประทานในพื้นที่ตำบลทุ่งน้อยอำเภอเมืองนครปฐม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม ได้นำนักประดาน้ำลงทำการดำน้ำเพื่อค้นหาอวัยวะที่ทั้งสองคนได้สารภาพว่ามีการนำมาโยนทิ้งเพื่ออำพรางและติดตามจาก GPS ของโทรศัพท์จากผู้ต้องหาที่มีการวิ่งไปยังถนนเส้นต่างๆ โดยเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและพูดถึงโดยเฉพาะผู้ต้องหาฝ่ายหญิงซึ่งมีพฤติกรรมเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในเรื่องการใช้เงินและลักทรัพย์รวมถึงการหลอกลวงเงินจากชาวบ้านและญาติของตัวเอง โดยตั้งแต่ช่วงบ่ายกระทั่งถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดินเจ้าหน้าที่ได้ดำน้ำค้นหาอวัยวะจากคลองชลประทานและบริเวณในจุดต่างๆระยะทางรวมกว่า 3 กิโลเมตรซึ่งตลอดทั้งวันก็ยังไม่พบอวัยวะอื่นหรือสิ่งผิดปกติตามที่ได้ข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและได้มีการยุติการค้นหาในช่วงหัวค่ำ
โดยจากการสอบถาม นางสาวแวว (นามสมมติ) อายุ 25 ปี บอกว่าตนเองเป็นเครือญาติของนางสาวปิยะวรรณ หรือแอน ซึ่งทราบเหตุการณ์ดังกล่าวมาว่าทั้งสองคนได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นบ้านพ่อและเป็นจุดที่พบอวัยวะแห่งแรกส่วนผู้เสียชีวิตเป็นคนในพื้นที่อำเภอนครชัยศรีโดยได้ติดตามมาทวงเงินจากการที่ทั้งคู่ได้ไปหลอกว่าสามารถนำเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลนครปฐมได้ และมีการโอนเงินให้หลายครั้งกระทั่งผู้เสียชีวิตได้ตามมาทวงเงินที่บ้านและหายตัวไป และมาพบศพในวันนี้โดยชาวบ้านหลายคนก็รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับตัวเองทราบข้อมูลจากทางญาติว่านางสาวปิยวรรณหรือแอน มีพฤติกรรมที่สุดแสบหลายอย่างเช่นการลักเล็กขโมยน้อยบ่อยครั้ง โดยมีการรับของที่โรงพยาบาลนครปฐมในช่วงที่เป็นลูกจ้าง การลักไก่ของชาวบ้าน และมีอีกหลายเรื่องซึ่งแต่ละเรื่องก็ได้มีการตกลงยอมความกันและเป็นคดีความอะไรแต่ในคดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่อุกฉกรรจ์ที่สุด เท่าที่เคย

“ขนาดย่าของเค้าเองก็ยังเพิ่งโดนหลอก ให้ไปเอาเงิน 10,000 ที่ได้จากรัฐบาลโดยหลอกว่าไปทำถังสีของแฟนหกเสียหายและปลอมเฟสไปเป็นคนอื่นบอกญาติให้ไปรับเงินที่บ้านโดยมีการปิดไฟไม่ให้เห็นว่าใครเป็นคนรับ เนื่องจากหากคนในบ้านรู้ก็จะไม่มีทางให้เงินแน่นอน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นที่ละอาและเป็นที่รู้ กันของชาวบ้านถึงความแสบของฝ่ายหญิงและสามี ซึ่งตอนนี้เรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่โด่งดังมากในพื้นที่โดยหลายคนบอกว่ารับไม่ได้เช่นกันกับความโหดเหี้ยมของคนทั้งคู่” นางสาวแวว (นามสมมติ) กล่าว
ขณะที่ นายวินัย (นามสมมติ) พ่อของนางสาวปิยะวรรณ หรือแอน บอกว่าเพิ่งจะทราบเรื่องก็เมื่อตอนที่ตำรวจมาที่บ้านและมารับตัวทั้งคู่ไปสอบปากคำมาครั้งหนึ่งแล้วนำกลับมาส่ง จากนั้นก็มีการมารับไปอีก ก่อนที่ทั้งลูกสาวและแฟนของเขาจะออกจากบ้านไปและมีตำรวจกลับมาที่บ้านโดยมีการไปขุดจนพบศพซึ่งตนเองก็ไม่ทราบมาว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ซึ่งในทางคดีก็ต้องยอมรับว่าใครก่ออะไรไว้ก็ต้องรับสิ่งที่ได้ทำ ไปตามกระบวนการกฎหมาย และที่ผ่านมาตนเองไม่เคยทราบพฤติกรรมเพราะว่าคนทั้งคู่จะไปอยู่ที่บ้านด้านหลังจะเข้าออกหรือจะมีการทำอะไรก็ไม่เคยมาปรึกษาเขาใช้ชีวิตส่วนตัวของเขาเวลาจะออกจากบ้านก็จะใช้ผ้าสแลนปิดทางเข้าออกซึ่งตนเองก็นอนอยู่ที่บ้านอีกหลังไม่ทราบมาก่อนว่า จะไปคบใครหรือจะไปหาใครตอนไหน ส่วนผู้ตายก็เพิ่งเคยเห็นมาวันที่เขามาที่บ้านแล้วก็ไม่เห็นอีกเลย ตอนนี้มีความเครียดเพราะกลัวชาวบ้านจะไม่เข้าใจหาว่าเราเป็นคนไม่ดี เรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าเราเลี้ยงเขาได้แต่ตัวแต่ไม่สามารถเข้าไปถึงความคิดของเขาได้

“ตอนนี้ก็อยากจะขอโทษกับญาติของผู้สูญเสีย เพราะเราก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำใจอย่างไรเพราะว่าเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วแล้วก็ยังงงอยู่ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนี้ ส่วนตัวคิดว่าคนก่อเหตุก็ต้องติดคุกไปตามที่เค้าทำแต่คนที่จะลำบากก็คือคนที่ต้องอยู่ในชุมชนนี้อยากจะย้ายบ้านหนีออกไปให้พ้นซะที” นายวินัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงบ่ายที่มีการออกติดตามหาอวัยวะส่วนอื่นของผู้ตายได้มีชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันถึงคดีโหดเยี่ยมดังกล่าวว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่ได้และไม่คิดว่าทั้งคู่จะกล้าลงมือและก่อเหตุสะเทือนขวัญในชุมชนโดยประเด็นส่วนใหญ่ได้มีการพูดถึงใช้เงินเกินตัวและมีคดีหลายครั้งของฝ่ายหญิงซึ่งก็จะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวกลับมาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรดอนตูมอีกครั้งถึงสาเหตุและ กระบวนการในการสังหารรวมถึงวิธีการในการแยกชิ้นส่วนของศพว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่มีการตัดสินใจก่อเหตุและลงมือในลักษณะใดกันแน่โดยเป็นคดีที่ประชาชนได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
