โฆษกสตช. เผยยกระดับด่านตรวจโควิด-19 กว่า 400 แห่ง ทั่วประเทศ หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3 เม.ย. 63 ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลตำรวจโท ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ชี้แจงถึง ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวของประชาชน ตามข้อกำหนดซึ่งออกตามความใน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 2) ดังนี้
พล.ต.ท.ปิยะฯ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมีการออกข้อกำหนด ห้ามมิให้มีการออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ทั่วราชอาณาจักร เว้นผู้ที่มีเหตุจำเป็น โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง หรือเรียกกันว่า CURFEW นั้น ข้อกำหนดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาด และลดการสัญจรของพี่น้องประชาชน ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนชี้แจงทำความเข้าใจดังนี้
แนวทางการปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
1 เพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมาย กับผู้ที่ยังกระทำความผิดตามข้อกำหนดใน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ , พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ , พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการฯ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ การบิดเบือนข้อมูล การหลอกลวง การกักตุนสินค้า และการขายสินค้าเกินราคา เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมประชาชน
2 ยกระดับ จุดตรวจควบคุมการแพร่ระบาดระหว่างจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร จำนวนกว่า 400 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นจุดตรวจเข้มแข็ง/จุดตรวจเคลื่อนที่/สายตรวจชุดเคลื่อนที่เร็ว กระจายไปในทุกหมู่บ้าน/ตำบล เพื่อ
- ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและผู้กระทำความผิด
- ควบคุมการเดินทางเฉพาะเท่าที่จำเป็น
- และมีการร่วมปฏิบัติจากทุกฝ่ายทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง สารวัตรทหาร และ กอ.รมน.จังหวัด เพื่อเสริมการทำงานของหน่วยงานด้านสาธารณสุขในการคัดกรองคนในพื้นที่ กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ
พล.ต.ท.ปิยะ ยังฝากเตือนไปยังผู้ที่ยังคงฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ โดยยังรวมกลุ่มมั่วสุม เสพยาเสพติด เล่นการพนัน รวมกลุ่มแข่งรถในทาง ลักลอบเปิดสถานบริการ กักตุนสินค้าบริการ การให้กู้ยืมเงินเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ ว่า
รัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ที่จะต้องดำเนินการให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดย พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการไปยังทุกสถานีตำรวจ ให้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว และให้รีบเสนอสำนวนมีความเห็นเสนอพนักงานอัยการสั่งฟ้องต่อศาล ขอให้ศาลลงโทษในสถานหนักและไม่รอการลงโทษ ในส่วนของกลางขอให้ศาลมีคำสั่งริบตามกฎหมายและผู้กระทำความผิดที่มีประวัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวมาก่อน ขอให้ลงโทษสถานหนักด้วย
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า ขอให้พี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือ ห้ามออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. เว้นมีเหตุจำเป็น สำหรับในกรณีจังหวัดที่มีการออกประกาศ สั่ง ห้าม เตือน หรือแนะนำอื่นใดในลักษณะเดียวกันที่เข้มงวดหรือเคร่งครัดกว่านี้ ให้ปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นด้วย ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นให้แก่
1 ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์
2 ผู้ปฏิบัติงานด้านการธนาคาร
3 การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ผลผลิตการเกษตร
4 การขนส่ง ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์
5 การขนส่งหนังสือพิมพ์
6 การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง
7 การขนส่งพัสดุภัณฑ์
8 การขนส่งสินค้าเพื่อการนำเข้าหรือส่งออก
9 การขนย้ายประชาชนไปสู่ที่เอกเทศ
10 การเข้าออกเวรทำงานผลัดกลางคืนตามปกติ
11 การเดินทางมาหรือไปท่าอากาศยาน
12 เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของทางราชการ
13 หรือผู้ที่มีเหตุจำเป็นอื่นๆ โดยได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
โดยผู้ที่ฝ่าฝืน จะมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังจะต้องมีความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกด้วย จึงขอให้พี่น้องประชาชนปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อควบคุม ป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคให้ได้โดยเร็ว”