เจาะโครงสร้างราคาน้ำมันไทย : เข้าใจชัดเจน ท่ามกลางภาวะราคาน้ำมันโลกผันผวน ทำความเข้าใจ ทำไมราคาน้ำมันไทยไม่ลดลงตามราคาตลาดโลก
ในยุคที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาพลังงานกลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง หลายคนตั้งคำถามว่า “ทำไมน้ำมันในไทยไม่ถูกลงตามตลาดโลก?” บทความนี้จะพาเจาะลึกโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกของประเทศไทยอย่างละเอียด พร้อมเปรียบเทียบกับนโยบายจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจเชิงระบบอย่างรอบด้าน
ประเทศไทยกับสถานะ “ผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ”
แม้ประเทศไทยจะมีแหล่งผลิตน้ำมันดิบภายในประเทศ แต่ศักยภาพการผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าประเทศไทยส่งออกน้ำมันเพราะมีน้ำมันเหลือใช้มากมาย แต่ความจริงคือ น้ำมันดิบบางส่วนมีสารปนเปื้อนสูงจนโรงกลั่นในประเทศรับไม่ได้ จึงต้องส่งออก และนำเข้าน้ำมันคุณภาพสูงกว่าแทน โดยสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบของไทย แบ่งเป็น ตะวันออกกลาง 57% ตะวันออกไกล 19% และแหล่งอื่นๆ (สหรัฐฯ ลิเบีย ออสเตรเลีย ฯ) อีกรวม 24%
เปิดโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกของไทย
ราคาน้ำมันที่เราเห็นที่สถานีบริการ ไม่ได้สะท้อนเพียงราคาค่าเนื้อน้ำมัน แต่ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายหลายส่วนซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 3 ส่วนหลัก คือ
1. ค่าเนื้อน้ำมัน (60–70%) คือราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น โดยราคานี้อ้างอิงจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นตลาดกลางการซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ไม่ได้เป็นราคาที่ประเทศสิงคโปร์กำหนด แต่เป็นราคาที่ผู้ค้าน้ำมันจากทั่วเอเชียเข้ามาซื้อขายกันแบบเสรีราคานี้สะท้อนต้นทุนการผลิตจริง รวมถึงราคาน้ำมันดิบและกระบวนการกลั่นภายในประเทศ ซึ่งหมายความว่าเมื่อราคาตลาดโลกเปลี่ยนแปลง ราคาหน้าโรงกลั่นของไทยก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ
2. ภาษีและกองทุน (25–30%) ประกอบด้วยภาระภาษีและเงินส่งเข้ากองทุนที่รัฐกำหนด ซึ่งเป็นเครื่องมือของภาครัฐในการบริหารจัดการพลังงานและเศรษฐกิจโดยรวม ประกอบด้วย
–ภาษีสรรพสามิต: เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงโดยกรมสรรพสามิต โดยอัตราภาษีจะเป็นไปตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันแต่ละชนิด
–ภาษีบำรุงเทศบาล: จัดเก็บในอัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อนำส่งให้กับท้องถิ่น เช่น เทศบาลหรือ กทม.
–ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): เป็นภาษีการบริโภคที่จัดเก็บเมื่อมีการขายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศโดยกรมสรรพากร ประกอบด้วย ภาษีมูลค่าเพิ่มจากราคา ณ โรงกลั่น และ ภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าการตลาด
–กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง: ใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในยามวิกฤต
–กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน: สนับสนุนการลงทุนและมาตรการเพื่อความยั่งยืนด้านพลังงาน
3. ค่าการตลาด (5%) เป็นค่าใช้จ่ายของสถานีบริการ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าที่ และค่าโปรโมชั่น ซึ่งยังไม่ใช่ “กำไรสุทธิ” ของผู้ประกอบการแต่อย่างใด

ทำไมราคาน้ำมันไทยไม่ลดลงตามราคาตลาดโลก?
แม้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะลดลง แต่ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไทยอาจไม่ได้ลดลงตามในทันที เหตุผลหลักคือ กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่สามารถ “เก็บเงินเข้า” เมื่อราคาตลาดลดลง และ “ชดเชยราคา” เมื่อราคาตลาดพุ่งสูง จุดมุ่งหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพในระยะยาว หากปล่อยให้ราคาลดลงเร็วเกินไป แล้วเกิดวิกฤตราคาในอนาคต รัฐจะไม่มีงบประมาณพอในการชดเชยผลกระทบ การมีเงินในกองทุนจึงเป็นการ “เตรียมตัวล่วงหน้า” ต่อสถานการณ์ไม่แน่นอน
ทำไมน้ำมันแต่ละประเทศราคาไม่เท่ากัน?
แม้น้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นสินค้าสากลที่ซื้อขายกันในตลาดโลก แต่ราคาขายในแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกัน นั่นเพราะเบื้องหลังราคาหน้าสถานีบริการที่ประชาชนเห็น ยังมีปัจจัยซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การเมือง และนโยบายภายในประเทศที่ส่งผลต่อการกำหนดราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ราคาน้ำมันจึงเป็นตัวสะท้อนสถานการณ์โลกและบริบทของแต่ละประเทศ ซึ่งพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นสินค้าหลักของระบบเศรษฐกิจโลก และเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความผันผวนสูง ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน ประกอบด้วยหลายประเด็นสำคัญ เช่น
-ภาวะเศรษฐกิจโลก
-ฤดูกาลและสภาพอากาศของแต่ละประเทศ
-สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
-ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศผู้ค้าน้ำมัน
-ภัยธรรมชาติ เช่น พายุ น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว
-กระแสด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนด้านพลังงาน
นอกจากนี้ ยังมี ปัจจัยเฉพาะในประเทศ ที่มีผลต่อราคาน้ำมัน เช่น ช่วงเทศกาลที่การเดินทางเพิ่มขึ้น หรือนโยบายรัฐบาลที่มีต่อภาษีและการอุดหนุนพลังงาน
โครงสร้างราคาน้ำมัน: ขึ้นอยู่กับนโยบายภาษีและกองทุนของแต่ละประเทศ
ราคาน้ำมันขายปลีกที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายของรัฐที่มีต่อภาษี และกลไกการเก็บเงินเข้ากองทุนพลังงาน บางประเทศมีการเก็บภาษีน้ำมันในอัตราสูงเพื่อนำรายได้ไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม ขณะที่บางประเทศเลือกใช้นโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง อีกประเด็นหนึ่งคือ ความแตกต่างของเกรดน้ำมัน ที่จำหน่ายในแต่ละประเทศ เช่น ค่าความบริสุทธิ์ หรือสูตรผสมที่เหมาะกับมาตรฐานเครื่องยนต์ในประเทศนั้น ๆ ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนของน้ำมันมีความแตกต่างกัน
ราคาน้ำมันไทย: อยู่ตรงไหนในเวทีโลก ?
จากการเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน และประเทศเศรษฐกิจชั้นนำทั่วโลก พบว่า ราคาน้ำมันในประเทศไทยจัดอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้สูงที่สุด และไม่ใช่ประเทศที่ราคาน้ำมันถูกที่สุดเช่นกันแม้ไทยจะเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ ต้องพึ่งพาน้ำมันดิบจากต่างประเทศกว่า 90% ของความต้องการในประเทศ แต่รัฐบาลได้ออกแบบโครงสร้างราคาน้ำมันให้สมดุลระหว่างความมั่นคงด้านพลังงานและภาระของประชาชน โดยใช้กลไกภาษีและกองทุนเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีก
บทเรียนจากต่างประเทศ: มาเลเซียกับนโยบายอุดหนุนที่ต้องเปลี่ยนแปลง
มาเลเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน แต่ยังประสบปัญหาจากนโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแบบครอบคลุม (Blanket Subsidy) ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ช่วงปี 2523 โดยกำหนดราคาดีเซลไว้ที่ 2.15 ริงกิต/ลิตร (ประมาณ 16.88 บาท) แม้ต้นทุนจะสูงกว่ามาก รัฐต้องใช้งบประมาณกว่า 1.1 แสนล้านบาท ต่อปีเพื่อรักษาราคานี้ไว้ จนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2567 รัฐบาลมาเลเซียเปลี่ยนนโยบาย ให้ราคาดีเซล ลอยตัวภายใต้เพดานราคาที่กำหนด (Managed Float) พร้อมกับอุดหนุนเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้มีรายได้น้อย หรือธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้น้ำมัน เช่น รถโดยสารสาธารณะและชาวประมง คาดว่าจะช่วยให้รัฐประหยัดงบประมาณได้ถึง 3.1 หมื่นล้านบาทต่อปี
เข้าใจกลไกราคา เพื่อมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์
โครงสร้างราคาน้ำมันของประเทศไทยเป็นผลลัพธ์ของการผสานระหว่างราคาตลาดโลก การจัดเก็บภาษีภายในประเทศ กลไกของกองทุนน้ำมัน และค่าการดำเนินการที่จำเป็นในระบบการจำหน่าย ไม่ใช่เพียงราคาน้ำมันดิบเพียงอย่างเดียว การตัดสินใจของรัฐจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การดูแลกลุ่มเปราะบาง และการบริหารจัดการในระยะยาว การสร้างความเข้าใจต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เกิดความร่วมมือในการก้าวสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืน และสามารถรับมือกับความผันผวนของราคาน้ำมันในอนาคตได้อย่างมั่นคง