กรมควบคุมโรค ออกประกาศเตือนประชาชนเฝ้าระวัง 5 โรคอันตราย ในช่วงฤดูร้อน

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศให้ประชาชนรับรู้และแจ้งให้ระวังถึงโรคที่จะเกิดในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม อากาศที่ร้อน และแห้งแล้งเหล่านี้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในน้ำ และอาหาร ปกติโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำสามารถเกิดได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูร้อนที่มีสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ซึ่งส่งผลให้อาหารบูดเสียง่าย รวมถึงความแห้งแล้ง อาจทำให้เกิดสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดโรคติดต่อต่าง ๆ และภัยสุขภาพได้

กรมควบคุมโรคในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทภารกิจเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยที่คุกคามทางสุขภาพ มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน จึงขอให้ประชาชนดูแลร่างกายและสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสเจ็บป่วยด้วยโรคและภัยสุขภาพ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน ดังนี้

1. โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ ได้แก่

1.1 โรคอาหารเป็นพิษ

1.2 โรคอหิวาตกโรค

1.3 โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน

1.4 โรคไวรัสตับอักเสบ เอ

1.5 ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย

2. ภัยสุขภาพ ได้แก่

2.1 การเจ็บป่วย และเสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อน

2.2 การบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากการจมน้ำ

5-โรคฤดูร้อน-2567-min

วันนี้ ไบทร์ทีวี (BrightTV) จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจกับ 5 โรคยอดฮิตที่ควรระวังในฤดูร้อน ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ไกลตัวเอาซะเลย สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย โดยหลักๆแล้วเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด หรือบูดเสียได้ง่าย รวมไปถึงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้ออีกด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เราไปดูวิธีการป้องกันเลย!

5 โรคฤดูร้อน ที่ต้องระวัง!

โรคอาหารเป็นพิษ

อาหารเป็นพิษ โรคยอดฮิตในช่วงฤดูร้อน เป็นภาวะที่เกิดจากรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียเข้าไป ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องและท้องเสียถ่ายเหลวตามมา

อาหารที่กินแล้วเสี่ยงต่อการเป็น โรคอาหารเป็นพิษ

  • อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ เช่น แกงต่างๆ ขนมหวาน
  • ส้มตำ และยำต่างๆบางร้านอาจใช้ปลาร้าไม่ได้มาตรฐาน ถั่วลิสงขึ้นรา กุ้งแห้งใส่สี ก็อาจทำให้ผู้รับประทานเกิดอาการอาหารเป็นพิษได้
  • ขนมจีนน้ำยาต่างๆ เส้นขนมจีนทำมาจากแป้ง และบูดง่าย รวมถึงน้ำยากะทิก็เก็บได้ไม่นาน
  • อาหารทะเล ควรเลือกสดๆ และปรุงให้สุก หากพบมีกลิ่นเหม็นคาว หรือสีผิดปกติไป ไม่ควรรับประทานเด็ดขาด
  • สลัด การทานผักสดๆ มีโอกาสได้รับเชื้อโรคที่ติดมาจากขนส่งหรือภาชนะที่ใส่ ดังนั้นควรล้างผักด้วยน้ำให้สะอาดก่อนรับประทานเสมอ
  • น้ำและน้ำแข็ง กระบวนการทำน้ำแข็งบางครั้ง อาจไม่สะอาด

อาการ

  • มีไข้ ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • ถ่ายอุจจาระบ่อย เกินวันละ 3 ครั้ง
  • ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
  • มีอาการสูญเสียน้ำ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย กระหายน้ำ

โรคอหิวาตกโรค

โรคอหิวาตกโรค หรือในอดีตเรียกว่า โรคห่า เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ในทางเดินอาหารแบบเฉียบพลัน โดยเชื้อจะไปอยู่ที่บริเวณลำไส้ และจะสร้างพิษออกมา เชื้ออหิวาตกโรคมักจะอยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย ซึ่งในระยะนี้จะนำมาสู่การแพร่กระจายเชื้อ โดยมักมาจากการที่แมลงวันมาตอมอุจจาระ แล้วนำเชื้อไปติดอาหารหรือน้ำดื่มต่าง ๆ โอกาสที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตสูงถึง 50% หากอยู่ในระดับรุนแรง

สาเหตุของการเกิด โรคอหิวาตกโรค

  • อาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้ออหิวาตกโรค โดยมักเป็นอาหารที่มีแมลงวันมาตอม
  • อาหารทะเลที่สุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะอาหารทะเลจำพวกหอย
  • กินผักผลไม้ที่ไม่ได้ปอกเปลือก
  • สภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะแหล่งน้ำที่ใช้อุปโภค-บริโภค
  • ติดต่อจากการใช้ของร่วมกันกับผู้ป่วยที่มีเชื่ออหิวาตกโรค

อาการ

  • ถ่ายเหลวเป็นน้ำปริมาณมากและบ่อย มีลักษณะเหมือนน้ำซาวข้าว อาจมีกลิ่นเหม็นคาว ผู้ป่วยอาจอุจจาระไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวได้
  • คลื่นไส้อาเจียนอยู่หลายชั่วโมง แต่มักไม่มีไข้ และไม่มีอาการปวดท้อง
  • รู้สึกกระหายน้ำมาก อ่อนเพลีย
  • หากอาการรุนแรง มักจะมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ น้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะเลือดเป็นกรด ริมฝีปากแห้ง เป็นตะคริว ตัวเย็น เป็นต้น
  • อหิวาตกโรคมักจะหายได้ภายใน 1-5 วัน แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรงแล้วไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะเข้าขั้นช็อก ชัก หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน

โรคอุจจาระร่วงหรือท้องเสียเฉียบพลัน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต เนื่องจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาด เป็นโรคที่พบได้บ่อย พบได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน ซึ่งต่างจากการท้องเสียทั่วไป คือการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปใน 24 ชั่วโมงหรือถ่ายเป็นมูกเลือด 1 ครั้งขึ้นไปใน 24 ชั่วโมง ควรพบแพทย์ทันที

การป้องกัน

  1. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร หรือรับประทานอาหาร
  2. รับประทานอาหารที่สะอาดและสุกใหม่และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ค้างคืน
  3. ก่อนจะนำอาหารมารับประทานควรอุ่นให้ร้อนก่อน
  4. ดื่มน้ำที่สะอาดหรือน้ำต้มสุก
  5. ผักสดหรือผลไม้ ควรล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาล้างผัก น้ำด่างทับทิม เป็นต้น
  6. มีภาชนะปกปิดอาหารป้องกันแมลงวันตอม

โรคไวรัสตับอักเสบเอ

โรคไวรัสตับอักเสบเอ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่ม picornavirus ซึ่งติดต่อกันได้ง่าย ทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันของตับ โดยระดับความรุนแรงมีได้ตั้งแต่ มีอาการเพียงเล็กน้อย ไปจนถึง ตับอักเสบเฉียบพลันรุนแรง โดยทั่วไปโรคสามารถหายเองได้จนเป็นปกติ ภายใน 2 เดือน มักติดต่อผ่านทางการกินอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อนี้เข้าไป นอกจากนี้เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ยังสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสใกล้ชิด กับผู้ติดเชื้อได้อีกด้วย

อาการ

  •  ไข้
  •  อ่อนเพลีย
  •  เบื่ออาหาร
  •  คลื่นไส้อาเจียน
  •  แน่นท้องใต้ชายโครงขวา
  •  ท้องร่วง
  •  ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้ม
  • ตัวเหลืองตาเหลือง หรือที่เรียกว่าดีซ่าน

ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบเอ

  •  ผู้ที่อาศัยในบ้านเดียวกับผู้ป่วย
  •  ประชาชนที่อาศัย หรือ นักท่องเที่ยวเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด
  •  เด็กหรือเจ้าหน้าที่ในศูนย์เลี้ยงเด็ก
  •  ผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัด หรือ ผู้อพยพที่อาศัยในที่พักชั่วคราว
  •  ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง หรือ ตับแข็ง จาก สุรา ไวรัสตับ B และ C

การป้องกัน

  • วิธีที่ทำได้ง่ายที่สุด คือ ล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำหรือก่อนปรุงอาหาร ควรใส่ถุงมือเมื่อต้องสัมผัสอุจจาระคนอื่นและล้างมือให้สะอาด
  • วิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การฉีดวัคซีน

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

  •  ภูมิคุ้มกันจะเริ่มหลังได้วัคซีนเข็มแรก 4 สัปดาห์และอยู่ได้นานประมาณ 20 ปี
  •  สามารถเริ่มให้ตั้งแต่เด็กอายุมากกว่า 2 ขวบที่เสี่ยงต่อการไดัรับไวรัสตับอักเสบเอ
  •  ขนาดของวัคซีนฉีด 3 เข็ม เดือนที่ฉีดคือเดือน 0 ครั้งต่อไป 6 และ 12 เดือน ตามลำดับ
  •  การให้วัคซีนสามารถให้พร้อมกับวัคซีนอื่น เช่น ไวรัสตับอักเสบบี บาดทะยัก วัคซีนป้องกันคอตีบ วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน  เมื่อจะต้องไปประเทศที่มีการระบาดควรได้รับวัคซีน 4 สัปดาห์ก่อนเดินทาง

โรคไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย

ไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ติดต่อโดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน ในประเทศไทยพบการติดเชื้อไทฟอยด์น้อยลงมากแล้ว เนื่องจากมีการพัฒนาด้านสุขอนามัยอย่างต่อเนื่อง จึงไม่แนะนำให้คนไทยรับวัคซีน แต่แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศซึ่งมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียใต้ เช่น อินเดีย เนปาล และในประเทศแถบแอฟริกา เนื่องจากระบบสาธารณะสุขไม่สะอาดดีเท่าที่ควร

อาการ

  • มีไข้สูง
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • แน่นท้อง ท้องผูก และตามมาด้วยอาการท้องเสีย
  • มีผื่นขึ้นตามลำตัวและหน้าอก
  • หากไม่ได้รับการรักษาจะมีไข้อยู่นานถึง 2 – 3 สัปดาห์

วัคซีนไข้ไทฟอยด์

  • วัคซีนชนิดฉีด (Vi Capsular Polysaccharide Typhoid Vaccine:ViCPS) ซึ่งใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว และสามารถฉีดกระตุ้นทุกๆ 3 ปี
  • วัคซีนชนิดกิน (Oral Typhoid Vaccine: Ty21a) ซึ่งเป็นวัคซีนเชื้อมีชีวิตอ่อนฤทธิ์ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ แต่ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย
โรคฤดูร้อน-2567-min

แนวทางการป้องกันโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ

  • การสร้างความตระหนักด้านสุขลักษณะส่วนบุคคล ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังการประกอบอาหาร รับประทานอาหาร และภายหลังจากการเข้าห้องน้ำหรือห้องส้วมทุกครั้ง
  • ยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” รับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่ควรรับประทานอาหารดิบ หรือ สุก ๆ ดิบ ๆ หากเป็นอาหารค้างคืนหรือเก็บไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง ควรนำมาอุ่นให้ร้อนทั่วถึงก่อนรับประทานทุกครั้ง รวมถึงเลือกน้ำดื่มและน้ำแข็งที่สะอาด มีเครื่องหมาย อย.
  • ควรแยกภาชนะที่ใช้ออกจากกัน แบ่งเป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารที่ปรุงสุกแล้ว กับภาชนะสำหรับใส่วัตถุดิบก่อนปรุง เพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรค
  • ปรับปรุงสุขาภิบาลต้านสถานที่ ทั้งบริเวณการเตรียม ปรุง และประกอบอาหาร กำจัดขยะมูลฝอยเศษอาหาร และสิ่งปฏิกูล เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวันและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรครวมถึงปรับบริเวณห้องน้ำ ห้องส้วม ให้ถูกหลักสุขาภิบาล
  • ผู้ประกอบอาหารและพนักงานเสิร์ฟอาหาร ควรสวมใส่หมวกคลุมผมและผ้ากันเปื้อนระหว่างปฏิบัติงาน ล้ำงมือก่อนจับอาหารทุกครั้ง ดูแลรักษาทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องใช้ในการประกอบอาหาร กำจัดขยะมูลฝอย และเศษอาหารภายในห้องครัวทุกวัน รวมไปถึงควรได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการอุจจาระร่วงควรหยุดปฏิบัติงานจนกว่าจะหายหรือตรวจไม่พบเชื้อในอุจจาระ
  • โรคไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่มีวัคนป้องกัน แต่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค สามารถให้ได้ตั้งแต่เต็กอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยจะได้รับการฉีดวัคซีน จำนวน 2 ครั้ง ห่างกัน 6 – 12 เดือน วัคชีนสามารถฉีดได้ทุกช่วงอายุ โดยผู้ที่ควรฉีดวัคนป้องกันเป็นกรณีพิเศษ ได้แก่ ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ เอ ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตับอย่างเรื้อรัง ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ทั้งจากคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เช่น ผู้ดูแลผู้ปวย หรือผู้ที่ทำงานในบ่อบำบัดน้ำเสีย ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด เป็นต้น

ที่มา กรมควบคุมโรค , โรงพยาบาลเปาโล , โรงพยาบาลสมิติเวช , โรงพยาบาลนวเวช , โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน

ข่าวล่าสุด

ดูทั้งหมด

“เบียร์ เดอะวอยซ์” เคลื่อนไหวแล้ว หลังคลิปอาบน้ำ หลุดว่อนโซเชียล เผยยอด Subscriptions พุ่ง

“เบียร์ เดอะวอยซ์” เคลื่อนไหวแล้วหลังคลิปหลุดว่อนโซเชียล เผยยอด Subscriptions พุ่ง ในวันเดียว! พร้อมเผยถึงยอดเงินจำนวนมากที่ได้ กลายเป็นประเด็นร้อนในโ […]

ชาวเน็ตยุไม่ขึ้น ดัง พันกร ชี้ไลฟ์อาบน้ำโชว์ไม่ได้ ติดเงื่อนไขสำคัญ…รับผิดชอบไม่ไหวนะ!

แม่นายพันกร ตอบแล้ว หลังชาวเน็ตเชียร์ให้ไลฟ์อาบน้ำโชว์บ้าง ถามกลับ อยากเห็นแม่โดนตัดออกจากกองมรดกเหรอ ? เป็นอันรู้เรื่อง

ใบเต็ม แม่น้ำหนึ่ง ภิรดา ล่าสุด แนวทางเลขเด็ด 2/5/68 หวยวันแรงงาน

ส่องเลย ใบเต็ม แม่น้ำหนึ่ง ภิรดา ล่าสุด แนวทาง เลขออกวันศุกร์ 2 พฤษภาคม 2568 ตามต่อ เลขเด็ดแม่น้ำหนึ่ง 3 ตัว 2 ตัว ต้อนรับ หวยออกวันแรงงาน

มาแล้ว เลขเด็ดล่าสุด เจ๊ฟองเบียร์ 2/5/68 แนวทาง หวยวันแรงงาน

จับตา เลขเด็ดล่าสุด เจ๊ฟองเบียร์ แนวทาง หวยออกวันศุกร์ 2 พฤษภาคม 2568 เลขเด็ดเจ๊ฟองเบียร์ 3 ตัว 2 ตัว ต้อนรับ หวยออกวันแรงงาน

AM International Hospital ออกแบบการดูแลรูปร่าง ผิวพรรณ เฉพาะคุณ

เจาะลึก “Personalized Solutions” แผนการดูแลรูปร่างและผิวพรรณที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล หัวใจสำคัญของ AM International Hospital เพื่อความสวยตรงปก

เมาจนเพี้ยน ไอ้ยักษ์คลั่งปัดขวดไวน์สนุกมือ พัทยาคือบ้านกู

ไอ้ยักษ์คลั่ง ปัดขวดไวน์แตก ทำลายข้าวของร้านสะดวกซื้อดังพัทยา ถูกจับได้อ้างเมาและยอมชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า