ศาลชั้นต้นในกรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ พร้อมด้วยคณะกรรมการ เผยผลคดีแพทย์หญิง พ้นผิดหลังทำการุณยฆาตผู้ป่วยความจำเสื่อม หลังผู้ป่วยร้องขอ และถือเป็นเคสตัวอย่างแรกของโรคนี้!
เป็นที่รู้กันดีกว่า เนเธอร์แลนด์ มีการอนุญาตให้มีการการุณยฆาตได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นประเทศแรกของโลกเมื่อปี 2002 ภายใต้ข้อจำกัดเข้มงวด และตัวผู้ป่วยที่ขอรับการจบชีวิตลงนั้น ต้องทุกข์ทรมานจนไม่สามารถทนรับได้และไม่มีหนทางรักษา โดยคณะกรรมการตรวจสอบการทำการุณยฆาตระบุว่าเมื่อปีที่แล้วมีการทำการุณยฆาต 6,126 ครั้ง
สืบเนื่องจากคดีที่มีการฟ้องร้องตั้งแต่ปี 2012 เมื่อผู้ป่วยหญิงสูงวัยที่ทนทุกข์ทรมานจากการป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม ได้เขียนจดหมายระบุให้ทำการุณยฆาตแทนการส่งเธอไปอยู่ที่สถานดูแลผู้ป่วยโรคความจำเสื่อม พร้อมทั้งระบุว่า ขณะที่เขียนจดหมายฉบับนี้นั้นตัวเธอยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนและเป็นคนตัดสินใจด้วยตนเอง โดยมีแพทย์หญิงรับเรื่องไปพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขที่คนไข้ร้องขอหรือไม่ พร้อมกับมีแพทย์อีก 2 คน ที่ลงความเห็นยืนยันว่าผู้ป่วยมีอาการเข้าเงื่อนไขจริง จึงเตรียมลงมือทำการุณยฆาต
แต่วันที่ต้องทำการุณยฆาตไม่เป็นดั่งที่ตกลงไว้ คนไข้กลับไม่รู้ตัวว่าแพทย์หญิงได้ใส่ยาระงับประสาทลงไปในกาแฟ ก่อนที่จะให้ยาในขั้นตอนสุดท้ายต่อหน้าสามีและลูกสาวของผู้ป่วย แม้ทางครอบครัวได้ยินยอมให้ทำการการุณยฆาตแล้ว ผู้ป่วยจึงลุกขึ้นขณะที่แพทย์กำลังดำเนินการให้ยาการุณยฆาต จนคนในครอบครัวต้องเข้าไปจับไว้ ก่อนที่แพทย์จะให้ยาต่อจนหมด จนผู้ป่วยถึงแก่ความตายในที่สุด
คดีดังกล่าวมีการฟ้องร้องกันต่อเนื่องจนถึงปี 2016 โดยพนักงานอัยการให้ความเห็นต่อโทษของแพทย์หญิงว่า แม้ผู้ป่วยจะระบุเป็นลายลักษณ์อักษรในการขอทำการุณยฆาต แต่แพทย์หญิงไม่ถามความสมัครใจของผู้ป่วยอีกครั้ง เนื่องจากผู้ป่วยอาจจะเปลี่ยนใจได้
แต่ผู้พิพากษาลงความเห็นว่า แพทย์หญิงได้ดำเนินขั้นตอนตามกฎหมายทุกประการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปรึกษากับแพทย์รายอื่นและครอบครัวของผู้ป่วย รวมทั้งทำตามที่ผู้ป่วยระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน อีกทั้งขณะลงมือผู้ป่วยยังมีสภาพจิตใจไม่ปกติจากอาการความจำเสื่อม แพทย์จึงไม่จำเป็นต้องให้ผู้ป่วยยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
คดีดังกล่าวจบลง ท่ามกลางความดีใจของผู้คนในห้องพิจารณาคดี และถือเป็นคดีตัวอย่างที่เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น นับตั้งแต่มีกฎหมายการุณยฆาต 17 ปีก่อน
อ่านข่าว Bright Today