สหรัฐฯ เชื่อ อิหร่าน โจมตี โรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ ขณะที่เหตุการณ์ครั้งนี้กระทบผลผลิตน้ำมันของประเทศถึงครึ่งหนึ่ง
เมื่อวันที่ 15 ก.ย. นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา พุ่งเป้าไปที่อิหร่านว่าเป็นผู้ก่อเหตุใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันสองแห่งของบริษัทซาอุดี อารามโค ทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย
โดยระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า “ท่ามกลางการเรียกร้องเรื่องการลดความรุนแรง อิหร่านกลับเปิดการโจมตีแหล่งพลังงานของโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่มีหลักฐานว่า การโจมตีมาจากเยเมน” โดยการทวีตข้อความของนายปอมเปโอ ขึ้นหลังจากที่กลุ่มกบฏฮูตีได้ออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีโรงกลั่นซาอุฯด้วยโดรน
ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารของซาอุฯ รัฐมนตรีพลังงานของซาอุฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์โจมตีและการป้องกันตนเองของซาอุฯ พร้อมกันนี้ ในแถลงการณ์ของทำเนียบขาว ยังระบุด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังติดตามสถานการณ์นี้
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานของซาอุดีฯ ออกแถลงการณ์วันนี้ว่า เหตุโจมตีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันและก๊าซ 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่ตัวเลขล่าสุดที่โอเปกเปิดเผยเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา
ระบุว่า ผลผลิตทั้งหมดของซาอุฯ อยู่ที่ 9.8 ล้านบาร์เรล/วัน เท่ากับว่าผลผลิตจะหายไปถึงราวครึ่งหนึ่ง หรือคิดเป็น 5% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก และทำให้เกิดการคาดการณ์กันเป็นวงกว้างว่าจะส่งผลอย่างมากต่อราคาน้ำมันโลก
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ ยังระบุอีกว่า บริษัทซาอุดี อารามโค ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุฯ กำลังเร่งดำเนินการเพื่อทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันที่หายไปกลับคืนมาโดยเร็ว ยืนยันว่าการโจมตีเหล่านี้ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่โรงกลั่นที่มีความสำคัญของซาอุฯเท่านั้น แต่ยังเป็นการโจมตีอุปทานน้ำมันและความมั่นคงทั่วโลก และนั่นจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหตุเพลิงลุกไหม้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่ยังไม่ได้มีการเปิดเผยถึงแหล่งที่มาของโดรนดังกล่าว ส่วนกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนได้ออกมาอ้างผ่านทางสำนักข่าว Al-Masirah ของตนเองว่า ทางกลุ่มกบฏอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ ว่าได้ใช้โดรน 10 ตัวในการก่อเหตุ