เพจดัง โบราณนานมา โพสต์เรื่องราวประวัติศาสตร์ เกาะกง เขมรต้องคืนให้ไทย ส่วน ปราสาทตาเมือนธม อยู่ฝั่งไทยขึ้นทะเบียนก่อนกัมพูชาเป็นเอกราช
3 มิ.ย. 68 เพจเฟซบุ๊ก โบราณนานมา โพสต์เรื่องราวถึง ปราสาทตาเมือนธม ขึ้นทะเบียนก่อนที่ ประเทศกัมพูชา จะเป็นเอกราชเสียอีก และประจันตคีรีเขตร (เกาะกง) ที่เขมร ต้องคืนให้ประเทศไทย
โดยเพจโบราณนานมา เขียนข้อความให้ความรู้ถึงประวัติศาสตร์ เรื่อง ปราสาทตาเมือนธม และ ประจันตคีรีเขตร (เกาะกง) เอาไว้ดังนี้
ปราสาทตาเมือนธม ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถาน ของไทยตั้งแต่ปี ๒๔๗๘ (1935)
“ปราสาทตาเมือนธม” อยู่ฝั่งไทย โดยกรมศิลปากรทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ (ค.ศ. 1935) หรือเมื่อ ๙๐ ปีที่แล้ว และปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี
ที่ผ่านมากรมศิลปากรได้บูรณะ โดยทางการกัมพูชารับรู้มาตลอด อีกทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังได้สร้างเส้นทางเที่ยวชมสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย อย่างไรก็ตามหากกัมพูชาอ้างสิทธิการถือครองพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมจริง ไทยต้องยืนยันว่าพื้นที่ชายแดนจุดนี้เป็นของเรา โดยใช้แผนที่ตามหลักสากล ซึ่งแบ่งพื้นที่ตามหลักสันปันน้ำ
ดังนั้น กัมพูชารับรู้มาตลอด แต่ตีเนียน คิดแต่จะสร้างสถานการณ์ ปลุกระดมคนกัมพูชา ที่ชักจูงได้ง่าย โดยไม่ใช้สติและปัญญาไตร่ตรองถึงข้อเท็จจริงก่อน ให้ดำเนินไปเหมือนกรณี “ปราสาทพระวิหาร”
“ประเทศกัมพูชา” ได้รับเอกราชในจากฝรั่งเศส เป็นประเทศเอกราช ปี ๒๔๙๖ (1953) และเป็นที่ยอมรับจากสหประชาชาติ ปี ๒๔๙๘ (1955)
“ประเทศกัมพูชา” ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) ภายหลังจากเป็นอาณานิคมมานานหลายสิบปี และได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศเอกราชอย่างเป็นทางการจากองค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ (ค.ศ. 1955)
ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ “ปราสาทตาเมือนธม” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยไปแล้วกว่า ๒๐ ปี
จึงเห็นได้ว่า การขึ้นทะเบียน “ปราสาทตาเมือนธม” เป็นโบราณสถานของไทยเกิดขึ้นก่อนที่ “ประเทศกัมพูชา” จะมีสถานะเป็นรัฐเอกราชในปัจจุบัน และสะท้อนถึงความต่อเนื่องของการดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่ดังกล่าวภายใต้การปกครองของไทยมาอย่างยาวนาน

ประจันตคีรีเขตร (เกาะกง) ที่เขมร ต้องคืนให้ประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเมืองใหม่ให้ ๒ เมืองที่อยู่ในเส้นรุ้ง (ละติจูด : latitude) เดียวกัน แต่อยู่คนละฝั่งอ่าวไทยให้เป็นเมืองคู่กัน คือ “เมืองนางรมย์” เป็น “ประจวบคีรีขันธ์” ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกกับ “เกาะกง” เป็น “ประจันตคีรีเขตร” ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออก ให้มีชื่อคล้องจองกัน โดยมีประกาศ เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๓๙๘
ในสมัยนั้นเมื่อฝรั่งเศสยึดญวน (เวียดนาม) และเขมร (กัมพูชา) ได้แล้ว ก็พยายามรุกเข้าลาว ซึ่งอยู่ในความปกครองของสยาม และพยายามบีบสยามทุกวิถีทาง โดยถือว่ามีอาวุธที่เหนือกว่า เมื่อเกิดกบฏฮ่อขึ้นในแคว้นสิบสองจุไท และสยามกำลังจะยกกำลังไปปราบ ฝรั่งเศสก็ชิงส่งทหารเข้าไปปราบเสียก่อน อ้างว่าเพื่อช่วยสยาม แต่เมื่อปราบฮ่อได้แล้วฝรั่งเศสก็ไม่ยอมถอนทหารออก ถือโอกาสยึดครอง เพราะมีเป้าหมายจะยึดดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมด
ในที่สุดวันประวัติศาสตร์ที่คนไทยจะต้องจดจำก็คือ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ซึ่งเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ฝรั่งเศสส่งเรือรบ ๒ ลำฝ่าแนวยิงของป้อมพระจุลฯ เข้ามาจอดหน้ากงสุลฝรั่งเศสในกรุงเทพฯ และยังเรียกเรือรบจากฐานทัพไซ่ง่อนอีก ๑๐ ลำมาร่วมปิดอ่าวไทย ต่อมาได้ส่งทหารขึ้นยึดเกาะสีชังเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม จนการค้าขายต้องหยุดชะงักหมด ยื่นเงื่อนไขให้สยามถอนทหารออกจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมดภายใน ๑ เดือน ให้วางเงินทันที ๓ ล้านฟรังก์ ยื่นข้อเรียกร้องให้สยามตอบภายใน ๔๘ ชั่วโมง
รัฐบาลสยามรู้ดีว่าข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ พยายามต่อรองบ่ายเบี่ยงแต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ต้องยอมลงนามในสัญญาข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสในวันที่ ๓ ตุลาคม
ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายออกสำรวจปักปันเขตแดนนั้น ฝรั่งเศสขอยึดเมืองจันทบุรีไว้ก่อน เพื่อให้สยามปฏิบัติตามสัญญา ทั้งนี้เพราะฝรั่งเศสเห็นว่าจันทบุรีเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งสยามก็ต้องยอมอีก
ฝรั่งเศสยึดจันทบุรีตั้งแต่ปี ๒๔๓๖ แต่เมื่อปักปันเขตแดนเสร็จสิ้น ฝรั่งเศสกลับหน่วงเหนี่ยวประวิงเวลา และบีบคั้นให้สยามเซ็นสัญญาอีกฉบับ ยอมยกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ซึ่งได้แก่เมืองหลวงพระบางฝั่งขวาและเมืองจำปาศักดิ์ โดยฝรั่งเศสจะยอมผ่อนคลายสิทธิ์สภาพนอกอาณาเขตให้ การผ่อนคลายนี้หมายถึงยกให้แก่คนเอเชียในบังคับของฝรั่งเศส แต่ยังไม่ยอมยกเลิกแก่คนฝรั่งเศส
สยามในเวลานั้นก็ต้องยอมอยู่ดี เซ็นสัญญาตามที่ฝรั่งเศสเรียกร้องนี้เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ เพื่อแลกกับจันทบุรีกลับคืน
แต่แล้วชั้นเชิงแบบหมาป่าก็ยังไม่สิ้น เพื่อเป็นหลักประกันให้สยามปฏิบัติตามสัญญานี้ ฝรั่งเศสขอยึดจังหวัดตราดและเกาะทั้งหลายตั้งแต่แหลมสิงห์ในอำเภอแหลมงอบ รวมทั้งเกาะกงซึ่งขณะนั้นเป็นจังหวัดประจันตคีรีเขตของสยาม ให้อยู่ในความปกครองของฝรั่งเศส และต้องรอให้ทั้งสองฝ่ายทำการสำรวจเส้นพรมแดนตามสัญญานี้ให้ฝรั่งเศสเสร็จเสียก่อน ฝรั่งเศสจึงจะยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี
สยามก็ต้องยอมเช่นเคย การสำรวจเสร็จสิ้นลงในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๔๗ ฝรั่งเศสจึงยอมถอนทหารออกจากจันทบุรีในวันที่ ๑๒ มกราคมต่อมา
ความอยากได้ดินแดนสยามของฝรั่งเศสยังไม่จบ มีจิตรกรฝรั่งเศสคนหนึ่ง ชื่อ อองรี อูโมต์ ได้เขียนรูปนครวัดนครธมไปเผยแพร่ ฝรั่งเศสเห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์เลยอยากได้ไว้เป็นสมบัติของตัว รวมทั้งอยากได้ทะเลสาบเสียมราฐอันกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ จึงเสนอแลกตราดกับเสียมราฐ พระตะบองและศรีโสภณซึ่งเป็นมณฑลบูรพาของสยาม สยามอยากได้ตราด ซึ่งมีคนไทยอยู่คืนมาจึงยอมอีก
ในสัญญาฉบับใหม่ที่ ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๔๙ ไทยต้องยกมณฑลบูรพา อันประกอบด้วย พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับ อำเภอด่านซ้ายของจังหวัดเลย รวมทั้งจังหวัดตราด ตั้งแต่แหลมสิงไปจนถึงเกาะกูด แต่ไม่ยอมคืนจังหวัดประจันตคีรีเขตด้วย
เป็นอันว่า “จังหวัดประจันตคีรีเขตร” หรือ เกาะกง จึงต้องหลุดไปอยู่กับฝรั่งเศสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนเป็นส่วนหนึ่งของเขมรในขณะนี้ ตอนนั้นมีคนไทยที่ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศส ได้สละบ้านช่องย้ายมาอยู่เกาะกูดและจันทบุรีเป็นจำนวนมาก คนเขมรจากเมืองต่าง ๆ จึงย้ายเข้ามาแทนที่ ปัจจุบันในเกาะกง ปรากฏว่ามีชาวไทย เพียงร้อยละ ๒๕ เท่านั้น
ชาวไทยในเกาะกง จะมีสำเนียงแบบเดียวกับที่จังหวัดตราด แต่เดิมเกาะกงในปี ๒๕๐๖ ได้มีการออกกฎห้ามชาวเกาะกงพูดภาษาไทย โดยจะปรับเป็นคำละ ๒๕ เรียล ห้ามมีเงินไทย และห้ามมีหนังสือไทยอยู่ในบ้าน หากเจ้าหน้าที่พบจะถูกทำลายให้สิ้นซาก ต่อมาในปี ๒๕๐๗ ค่าปรับการพูดภาษาไทยเพิ่มขึ้นเป็น ๕๐ เรียล แม้ชาวไทยเกาะกงจะถูกจำกัดสิทธิ์ทางภาษา วัฒนธรรม และประเพณีแต่ก็มีคนเฒ่าคนแก่ที่ยังรักษาประเพณี และเอกลักษณ์ การใช้ภาษาไทย
“ประจันตคีรีเขตร” เมืองคู่แฝดของ “ประจวบคีรีขันธ์” เหลืออยู่แต่เพียงชื่อไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ โบราณนานมา