ตำรวจนครบาลเรียกประชุมเจ้าหน้าที่รับมือมวลชนที่จะเดินทางเข้าให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากกรณีที่ ศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีการแถลงปิดคดีรับจำนำข้าวในวันพรุ่งนี้ ด้าน รองผบ.ตร. ยืนยัน ใช้แผน “กรกฎ 52” ดูแลรักษาความปลอดภัย บริเวณศาลฎีกาฯ ทั้งก่อนการแถลงปิดคดีและตัดสินคดีโครงการรับจำนำข้าว ยืนยันว่าจะไม่มีการสกัดมวลชนจากต่างจังหวัดอย่างแน่นอน
พล.ต.ต.ภานุรัตน์ หลักบุญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผผช.น.) เรียกประชุมตำรวจในสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 / ตำรวจสันติบาล / ตำรวจสืบสวนนครบาล / ทหารกองร้อยรักษาความสงบ และตำรวจในพื้นที่ เพื่อหารือแผนการรักษาความสงบเรียบร้อย และการอำนวยความสะดวกการจราจร ที่ศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีการแถลงปิดคดีรับจำนำข้าว และคาดว่าอาจมีมวลชนไปให้กำลัง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำนวนมาก
พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ เปิดเผยว่า เป็นการเข้ามาสอบถามแผนการปฏิบัติของตำรวจนครบาล 2 ว่ามีการเตรียมความพร้อมอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นมีการประเมินสถานการณ์ประชาชนที่จะมาให้กำลังใจ คาดว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกับเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยตำรวจจะมีชุดควบคุมฝูงชน 2 กองร้อย และชุดกองร้อยน้ำหวาน 1 หมวด คอยอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ส่วนเรื่องการข่าวในภาพรวมยังไม่มีอะไรน่ากังวลเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันในที่ประชุมจะนำข้อกังวลและห่วงใยของศาลมาปฏิบัติ เช่น การเพิ่มแผงรั้วกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปใกล้บริเวณกระจก เพราะอาจได้รับอันตราย / การประสานขอรถสุขาจากกรุงเทพมหานคร / การจัดเตรียมรถพยาบาลกรณีฉุกเฉิน ส่วนแผนการจัดการจราจร เบื้องต้นทราบว่ากองบังคับการตำรวจนครบาล 2 มีการเตรียมแผนรองรับไว้อยู่แล้ว ยืนยันว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องสั่งปิดการจราจรในวันดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้อยากให้ประชาชนที่จะเดินทางมาในวันดังกล่าวเคารพกฎหมาย ไม่ยั่วยุหรือก่อความรุนแรงใด ๆ ซึ่งเชื่อว่าคนไทยทุกคนอยากให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบสุขอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ จะมีการประชุมหารือโต๊ะข่าวร่วมกับทางกองทัพและหน่วยงานความมั่นคงอีกครั้ง เพื่อประเมินสถานการณ์ข่าว ก่อนเตรียมวางแผนการปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยในวันพิพากษาคดี วันที่ 25 สิงหาคม
สำหรับพื้นที่ ศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั้นตั้งอยู่ภาย ศูนย์ราชการอาคารบี ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่า มวลชนจะเดินทางเข้ามาโดยใช้เส้นทางหลักของ ศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ และอีกเส้นทาง มวลชนอาจจะเดินทางผ่านเข้ามา ทางซอย แจ้งวัฒนะ 7 ซึ่งหากมีเหตุการณ์ไม่สงบ เจ้าหน้าที่ สามารถปิด บริเวณ ปากทางทั้งสองด้านซึ่งติดกับเส้นทาง ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อควบคุมสถานการ์ได้อย่างง่ายดายและ การควบคุมสถานการณ์ก็ ใช้เจ้าหน้าที่ ไม่มากนัก อย่างไรก็ตามหากกำลังเจ้าหน้าที่ 2 กองร้อยที่ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดเตรียมมาไม่เพียงพอ ก็จะสามารถของกำลังเสริมจาก ทหารกองร้อยรักษาความสบ สังกัดกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5 ซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ตรงข้ามอาคารศูนย์ราชการได้อย่างรวดเร็ว
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ระบุภายหลังการประชุมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่รอบศาลฎีกาฯ ว่า จะมีการใช้แผน “กรกฎ 52” ดูแลรักษาความปลอดภัย บริเวณศาลฎีกาฯ ทั้งก่อนการแถลงปิดคดีและตัดสินคดีโครง การรับจำนำข้าว ส่วนจะใช้กำลังมากน้อยแค่ไหน รอให้กองบัญชา การตำรวจนครบาล (บช.น.) ประเมินสถานการณ์ และประเมินมวลชนก่อน
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามสถานการณ์เบื้องต้น ยอมรับว่า พบการเคลื่อนไหวของแกนนำมวลชน 1-2 รายในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ที่มีการนัดหมายผ่านทางโซเชียลมีเดีย จึงสั่งการให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) และตำรวจพื้นที่ตรวจสอบว่า เข้าข่ายยุยงปลุกปั่นหรือไม่ หากเข้าข่ายให้ดำเนินคดีทันที
“ยืนยันว่าจะไม่มีการสกัดมวลชนจากต่างจังหวัด แต่จะตรวจเข้มการพกพาอาวุธ หากมีการกระทำผิดกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ ผิดคำสั่ง คสช. หรือผิด พ.ร.บ.คอม- พิวเตอร์ ตำรวจก็ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด และยังไม่มีความจำเป็นต้องขอใช้คำสั่ง คสช. มาตรา 44 หรือคำสั่งพิเศษใดๆ ในการควบคุมสถานการณ์”
รองผบ.ตร.ยังยอมรับด้วยว่า เป็นห่วงมือที่ 3 ฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ซึ่งตำรวจจะทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรอย่างเต็มที่ ส่วนการพูดคุยทำความเข้าใจกับแกนนำนปช. เป็นเรื่องของทางกองทัพ ส่วนตัว เพียงส่งสัญญาณผ่านสื่อมวลชน ให้ทุกฝ่ายเคลื่อนไหวภายใต้กรอบกฎหมาย โดยเรียกประชุมดูแผนการรักษาความสงบเรียบร้อย วันแถลงปิดคดีจำนำข้าว เชื่อไม่มีเหตุความรุนแรง
ผ่าแผนกรกฎ 52
สำหรับแผน “กรกฎ 52” เป็นแผนที่ปรับมาจาก “แผนกรกฎ 48” ที่เคยใช้รับมือกับม็อบเสื้อแดง ม็อบเสื้อเหลือง โดยมีการลดขั้นตอน แต่เพิ่มรายละเอียดการปฏิบัติในส่วนของขั้นตอนการจับกุม
โดยแผน “กรกฎ 52” จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก ในส่วนการดูแลขั้นตอนแรกนั้นเจ้าหน้าที่ จะไม่ยืนติดกับกลุ่มผู้ชุมนุม หากกลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าผืนก็จะใช้ขั้นตอนการเจรจาผลักดันด้วยรถขยายเสียง
และหากมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น จนถึงมีการทำร้ายสิ่งของ ลวดน้ำ หรือแผงกัน เจ้าหน้าที่จะควบคุมด้วยการใช้แก็สน้ำตา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3ประเภท คือ 1แก็สน้ำตาชนิดขว้าง แก็สน้ำตาชนิดนี้ เจ้าหน้าที่จะมีประจำตัวนายละ 2ลูก หลังจากแกะสลักและขว้างออกไป จะมีฝุ่นแป้งสีเงินฟุ้งกระจาย คล้ายแป้งฝุ่นกระป๋อง และหากโดนเข้ากับผู้ชุมชุมก็จะมีอาการแสบร้อนแก็สน้ำตาชนิดที่ 2 จะเป็นแบบผสมน้ำ เจ้าหน้าที่จะใช้ผงแก็สน้ำตาผสมน้ำฉีดเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมด้วยเครื่องฉีดน้ำประจำตัวทำให้กลุ่มผู้ชุมชุนเกิดอาสาแสบตา
ส่วนแก๊สน้ำตาชนิดสุดท้าย เป็นแบบกระสุนยิงที่สามารถยิงได้ระยะไกลถึง 500 เมตร แต่แก๊สน้ำตาชนิดนี้เจ้าหน้าที่ไม่นิยมใช้ เนื่องจากเครื่องยิงแก๊สน้ำตามีลักษณะคล้ายกับเครื่องยิงระเบิดชนิดเอ็ม 79 จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด
ส่วนโล่กระบอง กระสุนยาง เครื่องช็อตไฟฟ้า มีการเตรียมไว่ใช้หากกลุ่มผู้ชุมนุมมีการใช้กำลังต่อสู้เจ้าหน้าที่ และสุดท้าย หากการชุมชุมถูกยกระดับขึ้นถึงขั้นจลาจล แผน “กรกฎ 52” อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนที่เตรียมไว้ควบคุมความสงบ
ในการใช้อุปกรณ์เพื่อควบ คุมสถานการณ์การชุมนุมนั้น ต้องไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตและต้องยึดตามหลักมาตรฐานสากล อาทิ รถติดระบบเครื่องเสียงที่มีระบบสัญญาณรบกวนโสตประสาทหู รถที่มีศักยภาพในการฉีดนํ้าผสมแก๊สนํ้าตา นํ้าผสมสี โดยแต่ละขั้นตอนจะมีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันก่อนที่จะเข้าควบคุมฝูงชน
ย้อนอดีตสลายม็อบเสธ.อ้าย
กรณีศึกษาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยงัดแผน “กรกฎ 52” มาใช้ในการสลายม็อบจนประสบความสำเร็จ ก็คือ “ม็อบขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 นำโดย “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แกนนำองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.)
ในเช้าวันดังกล่าว เสธ.อ้าย ได้ประกาศนำมวลชนมาแสดงพลังขับไล่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” โดยรวมตัวที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อเดินเท้าไปยังทำเนียบรัฐบาล แต่ถูกตำรวจกว่า 2 กองร้อยสกัดบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำให้มีการปะทะและใช้แก๊สนํ้าตาสลายฝูงชน ส่งผลให้ เสธ.อ้าย ประกาศยุติการชุมนุมในเวลาต่อมา โดยอ้างว่าเพื่อรักษาชีวิตของมวลชนที่มาร่วมชุมนุม