“อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์” ขึ้นศาลคดีจำนำข้าวมั่นใจพยานหลักฐานที่มี หวังศาลให้สืบพยานจนครบ ยันได้รับกำลังใจดี
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อรับฟังการไต่สวน คดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริต จนรัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า มั่นใจในการสู้คดีเพราะพยานแต่ละคนต่างก็มีประเด็นที่จะนำสืบต่อศาล ซึ่งล้วนมีความสำคัญ และมั่นใจในตัวพยาน 4 ปากวันนี้ ที่จะมาสืบพยานต่อศาล และหวังว่า จะยังสามารถนำพยานเข้าสืบต่อศาลได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายความมั่นคงกังวลที่การไต่สวนพยานนัดสุดท้ายในวันที่ 21 กรกฎาคม จะมีมวลชนมาให้กำลังใจจำนวนมาก จนต้องเพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัย โดยเชื่อว่า มวลชนที่มาให้กำลังใจนั้น มาด้วยความห่วงใยและผูกพันธ์ต่อกัน ซึ่งได้ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมติของศาล และ คสช .อยู่แล้ว
พร้อม ขอบคุณประชาชนทุกคนที่มอบกำลังใจให้ ซึ่งถือเป็นน้ำใจคนไทยที่มอบให้ และยืนยันว่า แม้คดีใกล้จะถึงการพิพากษาเข้ามาทุกทีแต่กำลังใจ ยังดีอยู่ และเป็นส่วนสำคัญที่จะให้ต่อสู้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่าตน ไม่ได้ปล่อยปะละเลยให้เกิดการทุจริตในคดีนี้
ทั้งนี้การเข้าเบิกความในคดีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฐานปล่อยปะละเลย เป็นเหตุให้เกิดทุจริต ในโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหาย วันนี้จะมีพยายฝ่ายจำเลยที่ต้องให้การ 4 ปาก คือนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไปศาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ น่าจะชี้แจงถึงโครงการรับจำนำข้าวว่าได้ทำตามข้อเสนอแนะทักท้วง รวมถึงมาตรการป้องกันการทุจริต ขณะที่ปลอดประสพ สุรัสวดี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี //พลโทภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช. และนายสุรชัย ศรีสารคาม อดีตปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คาดว่าจะชี้แจงการตรวจสอบเหตุทุจริตที่เกิดขี้น
ส่วนนางสดสี สัตยธรรม อดีต กกต. อีกพยานปากสำคัญที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเบิกความครั้งนี้แต่ได้ขอส่งคำเบิกความเป็นเอกสารต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยสาระสำคัญในเอกสารชี้ให้เห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้เป็นนโยบายหาเสียง ไม่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง
สำหรับบรรยากาศหน้าศาลวันนี้ก็มีมวลชนเดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำนวนมาก ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยทั้งตำรวจและกำลังเสริมจากกองกำลังรักษาความสงบแห่งชาติ