พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องบินภายในประเทศว่า การที่มีการกล่าวหาว่ารัฐถังแตก จึงต้องรีดภาษีสูงขึ้นนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะจากข้อมูลฐานะการคลังของรัฐบาล ณ เดือน ธ.ค. ในปี 2559 ยังมีเงินคงคลังซึ่งเป็นตัวเลขที่หักลบรายได้และรายจ่ายแล้วคงเหลือทั้งสิ้น 74,907 ล้านบาท
ทั้งนี้ เหตุผลในการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินคือ การสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีและกลไกตลาด อีกทั้งที่ผ่านมาการขนส่งทางอากาศ มีการเสียภาษีน้ำมันเครื่องบินเพียง 20 สตางค์ต่อลิตร ติดต่อกันมานานถึง 24 ปี รัฐจึงเห็นควรว่าต้องมีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาทต่อลิตร เมื่อ 25 มกราคม 2560
อย่างไรก็ตาม การคำนวณต้นทุนของกรมสรรพสามิต พบว่าการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินครั้งนี้ จะทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 50 บาท และไม่น่าจะถึง 150 บาทต่อเที่ยว เพราะเครื่องบินขนาดกลางที่มีที่นั่ง 200-300 ที่นั่ง จะใช้น้ำมันประมาณ 2,500 ลิตรต่อชั่วโมง หรือมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น 9,500-10,000 บาท หากนำไปเฉลี่ยกับจำนวนที่นั่งบนเครื่องบินแล้ว กรมสรรพากรสามิตเห็นว่าราคาควรจะเพิ่มขึ้นเพียง 45-50 บาทเท่านั้น ดังนั้นการปรับขึ้นหรือลงของภาษีน้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และอื่นๆ ต้องเป็นไปตามหลักอุปสงค์และอุปทานของโลก