วันนี้ 17 มีนาคม 2560 ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมเป็นพยาน เพื่อนัดสืบพยาน คดีจำนำข้าวนัดที่ 11 ที่นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลย พร้อมพยานจำเลย 3 ปาก เสร็จสิ้นไปในช่วงเช้าแล้ว
ก่อนเดินทางเข้าห้องพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ศาลฎีกาได้พิพากษายึดทรัพย์ไปแล้ว 46,000 ล้านบาทก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น การที่จะเรียกเก็บภาษีทั้งๆ ที่ศาลฎีกาตัดสินไปแล้วหวังว่าจะไม่ใช่การใช้อำนาจหรือกฎหมายที่ตนเองมีอยู่เพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือไล่ล่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอให้เห็นใจกัน
ช่วงเช้าที่ผ่านมานางสาวยิ่งลักษณ์ ดินทางมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยมีบรรดาผู้สนับสนุนให้กำลังใจพร้อมดอกไม้ ให้กำลังใจ ซึ่งการไต่สวนในศาลวันนี้ เป็นกระบวนพิจารณาไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 11
ทนายความเรียกพยานไต่สวน 3 ปาก ประกอบด้วยนายพิชัย ชุนหวชิร ผู้เชี่ยวชาญด้านการขายข้าว และอดีตประธานกรรมการบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) , พลตำรวจเอก ธนกฤต อ่อนละออ รองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร .หนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เกี่ยวกับการดำเนินคดี และมีร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว มาร่วมให้การ ซึ่งร้อยตำรวจเอกเฉลิมมาปรากฏตัวกับสื่อมวลชนในรอบหลายปี ซึ่งดูสดใส ร่าเริงและแข็งแรงดี
ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรีเบิกความถึงกรณที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้มีหนังสือทักท้วงถึงรัฐบาลภายหลังคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายโครงการรับจำนำข้าว ต่อรัฐสภา โดยตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในช่วงดึก แต่่ สตง.ได้ทำหนังสือท้วงติงแก่รัฐบาลในเช้าวันถัดมาทันที รวมถึงเนื้อหาบางส่วนมีการกล่าวาอ้างถึงโครงการประกันราคาข้าว ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนโยบายที่มีความแตกต่างจากการรับจำนำข้าว ซึ่งจำเลยได้มีการซักถามถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้รับคำตอบว่า สตง. รวมถึง ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจในการกำกับนโยบายของรัฐบาล มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตเท่านั้น และยังระบุว่า ภายหลังจากที่นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจำเลย โดยมีการอภิปรายว่ามีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว โดยมีการกล่าวอ้างถึง นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนายบุญทรง ในฐานะที่มีอำนาจในการบริหารเข้าไปตรวจสอบ แต่ได้รับรายงานกลับมาว่าไม่พบการทุจริต แต่จำเลยไม่ได้สั่งการให้ตนเองในฐานะคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าวเข้าไปตรวจสอบ เพราะไม่มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการระบายข้าว โดยต่อมา จำเลยได้มีการสั่งปลดนายบุญทรงออกจากทุกตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 แต่ไม่ทราบสาเหตุของกาารปลดว่าจะเกี่ยวข้องกับการรับจำนำข้าวหรือไม่
ด้านพันตำรวจเอกธนกิจ อ่อนละออ อดีตนายตำรวจพื้นที่ปทุมธานี เบิกความถึงกรณีที่มีการตรวจพบว่าข้าวในโครงการรรับจำนำข้าวหายกว่า 9 หมื่นกระสอบ จากโกดังเก็บข้าวในจังหวัดปทุมธานีว่า ข้าวจำนวนดังกล่าวถูกขนย้ายออกจากโกดังแบ่งเป็น 3 รอบ ซึ่ง 2 รอบแรกสามารถนำของกลางกลับคืนมาได้ แต่ในรอบที่ 3 นั้น จากการตรวจสอบโกดังพบว่า มีการนำนั่งร้าน มาสอดไส้ในกองข้าว จึงไม่สามารถตรวจสอบหากระสอบข้าวที่หายไปได้ แต่จากการตรวจสอบนั่งร้าน พบว่านายธีรศักดิ์ แสนวรางกุล หรือ เสี่ยอ้วน ซึ่งเป็นน้องชาย นายกิตติพงศ์ แสนวรางกุล หรือ เสี่ยเล็ก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีนำข้าวหมุนเวียนในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผู้สั่งนั่งร้านดังกล่าว ซึ่งมีการสส่งของเป็นจำนวน 3 ซึ่งเป็นช่วงหลัังเกิดการรัฐประหาร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และ คสช. ได้มีคำสั่งให้ล็อกโกดังข้าวทั้งหมด
ส่วนนายพิชัย ชุณหวชิร อดีตนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ยืนยันว่า ในฐานะนายกสมาคมและคณะกรรมการสมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรของประเทศไทย ยืนยันว่าการตรวจสอบการบัญชีโครงการรับจำนำข้าว เป็นเพียงการตรวจสอบอายุข้าวในโครงการเท่านั้น ไม่มีการตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับราคาขายในตลาด
สำหรับการไต่สวนพยานคดีรับจำนำข้าวในครั้งต่อไป จะมีขึ้นในวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 เวลา 09.30 น.