ราชกิจจานุเบกษา เผยพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง โดยสาระสำคัญอยู่ที่มิให้นับเวลาที่จำเลยหลบหนีเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ อีกทั้งสามารถไต่สวนพยานลับหลังได้กรณีที่จำเลยหนี ออกหมายจับแต่จับไม่ได้ นัดแล้วไม่มา หากระบุยื่นอุทธรณ์ต้องมาแสดงตนต่อศาล
เว็บไซต์ของราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 จำนวน 70 มาตรา ซึ่งสาระสำคัญที่น่าสนใจมีหลายมาตรา อาทิ มาตรา 25 ในการดําเนินคดีอาญาตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้วให้อายุความสะดุดหยุดลง ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาหรือจําเลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดําเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาคดีของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจําเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ ในกรณีมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจําเลย ถ้าจําเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ มิให้นําบทบัญญัติมาตรา 98 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ
ขณะที่มาตรา 31 ระบุว่า การพิจารณาไต่สวนพยาน หลักฐานให้กระทำโดยเปิดเผยเว้นแต่มีความจำเป็นให้ศาลพิจารณาลับหลังได้ เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปไม่ชักช้า ศาลมีอำนาจไต่สวนพยานหลักฐานลับหลังจำเลยได้ ในกรณี อาทิ จำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้วแต่ได้หลบหนีคดี และศาลได้ออกหมายจับแต่ยังจับไม่ได้ หรือจำเลยทราบวันนัดแล้วไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุอันควร
ส่วนมาตรา 60 ซึ่งอยู่กรณีของการอุทธรณ์ ระบุว่า คำพิพากษาของศาลให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
และในมาตรา 61 ในกรณีที่จําเลยซึ่งไม่ได้ถูกคุมขังเป็นผู้อุทธรณ์ จําเลยจะยื่นอุทธรณ์ได้ต่อเมื่อแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ศาลมีคําสั่งไม่รับอุทธรณ์
โดยให้การวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ดำเนินการโดยคณะของศาลฎีกา ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาจำนวน 9 คน ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือกจากผู้พิพากษาในศาลฎีกาในศาลฎีกา ซึ่งดํารงตําแหน่งไม่ต่่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดํารงตําแหน่ง ไม่ต่่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อน โดยให้เลือกเป็นรายคดี คําวินิจฉัยอุทธรณ์ขององค์คณะให้ถือว่าเป็นคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยให้กฎหมายนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี