นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ สส. ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย มีความไม่สบายใจอย่างมาก หลังมีการขึ้นค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว จาก 65 บาท เป็น 104 บาท เนื่องจากพรรคภูมิใจไทย มีนโยบาย เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ให้พี่น้องประชาชนชาวไทย รัฐมนตรีของพรรคทุกคนทำงานโดยยึดแนวทางนี้มาตลอดเวลา
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวพบความไม่ชอบมาพากล หลายจุด ยิ่งการขยายสัมปทานในครั้งนี้ที่นำเรื่องส่วนต่อขยาย ทางทิศเหนือ(แบริ่ง สมุทรปราการ) และทิศใต้ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต)เข้ามาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่เดิม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นคนทำโครงการส่วนต่อขยายนี้ ซึ่งมีข้อมูลน่าสนใจ ในวันที่3ธันวาคม 2561 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการ กทม. ไปเซ็นข้อตกลงที่ กทม.รับโอนโครงการส่วนต่อขยายจาก รฟม. ท่านให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนไว้ว่า
โดยตนยื่นคำขาดไปว่าเก็บค่าโดยสารเกิน 65 บาทไม่ได้ กฎหมายใหม่ รัฐให้คุณร่วมทุน ฉะนั้นก็ต้องเก็บไม่เกินเท่านี้ และใช้หนี้ให้หมด และให้ค่าตอบแทนกับเราเท่าไร คุยกันนอกรอบกันไปแล้ว รับหลักการแล้ว เรื่องหนี้เขาก็ต้องรับไป แต่เรื่องจ่ายผลตอบแทนเท่าไร เราก็ยื่นข้อเสนอไปแล้ว คือผมเป็นคนพูดสั้นแต่เขาต้องทำตามนี้ เรื่องหนี้แสนล้านน่าจะโอเค ไม่ได้ก็ไม่ต้องมา”
ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า การที่พล.ต.อ.อัศวิน ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ ปรากฏในสื่อสารมวลชนหลายแห่ง วันนั้นท่านให้คำมั่นกับประชาชนเอาไว้ว่าจะจัดเก็บค่าโดยสาร “ไม่เกิน 65 บาท ตลอดสาย”และ “หนี้แสนกว่าล้าน” บริษัทที่มารับสัมปทานจะรับผิดชอบ แต่ พล.ต.อ.อัศวิน คนเดียวกันนี้ กลับลงนามในประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องการกำหนดค่าโดยสารในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 ที่ค่าโดยสารถูกเพิ่มไปเป็น 104 บาท ท่านทำไปได้อย่างไร
ตนเป็นห่วง ท่านจะถูกคนกล่าวหาว่าตระบัดสัตย์หรือเปล่า เหมือนผู้นำชาติในอดีต ที่ต้องมีอันเป็นไปกับชีวิตทางการเมืองเนื่องจากไม่ทำตามที่รับปากที่ให้ไว้กับสาธารณชน และทำให้คนที่ใช้บริการ คน กทม. และคนต่างจังหวัดที่มาทำงานใน กทม.หาเช้ากินค่ำต้องลำบากจากค่ารถไฟฟ้ามหาโหดเส้นนี้
ทั้งนี้ เรื่องนี้จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นแน่ ๆ ยิ่งช่วงใกล้วันที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งที่ทราบมาฝ่ายค้านมีข้อมูลที่จะทำการอภิปรายมั่นใจว่าจะตอบได้หรือไม่ กระทรวงคมนาคม ยังขัดแย้งกับกระทรวงมหาดไทย จึงขอเตือน ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ปลดชนวนเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ทำให้ประชาชนจะต้องรับภาระไปอีก 30 ปี ในราคาแพงเกินจริง หาก กทม.ไม่มีหนทางทำให้ถูกลง ก็ควรจะคืนโครงการไปให้ รฟม.ทำจะดีกว่า