พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. กล่าวถึงการส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยตำรวจ ดูแลการชุมนุมของกลุ่มราษฎร เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ว่า เจ้าหน้าที่ที่ไป ไม่ได้ไปควบคุมฝูงชนเพราะอยู่นอกเครื่องแบบ แต่เจ้าหน้าที่ตรงนั้นไปอยู่หลังแนวตำรวจ ตนขอพูดในฐานะดูแลงานด้านความมั่นคง ซึ่งสถานการณ์เมื่อวันที่ 8 พ.ย. กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนมุ่งไปสู่พระบรมมหาราชวัง ศาลหลักเมือง วัดพระแก้ว ทั้งหมดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มีใครรับประกันหรือรับผิดชอบได้หรือไม่ต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการเฝ้าระวังป้องกัน ส่วนทหารอยู่บริเวณหลังตำรวจ หากมีมวลชนหลุดแนวตำรวจออกมา ก็เป็นหน้าที่ของทหารจะต้องป้องกันเพราะการ์ดที่ดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม คุยกันแล้วว่าชุมนุมอย่างสงบและสันติ เราพยายามไม่ให้เกิดความรุนแรง ทำกลุ่มผู้ชุมนุมและความมั่นคงได้คุยกันมาตลอด
ถึงแม้การชุมนุมดังกล่าว จะผิดพ.ร.บ.การชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ก็ประนีประนอม ไม่ได้ดำเนินคดีทั้งหมด ใครที่ทำผิดกฎหมายก็ดำเนินการเฉพาะรายบุคคล ในส่วนของการ์ดที่ดูแลความปลอดภัย ต้องยอมรับว่าเขาพยายาม เจรจากับตำรวจ ในสิ่งที่เขาอยากจะกระทำ และยืนยันในเรื่องของการชุมนุมโดยสงบและสันติ แต่ต้องยอมรับว่า มีกลุ่มคนที่อยากให้เกิดความรุนแรง ซึ่งตนย้ำไว้เสมอว่าอย่าให้เกิดความรุนแรงต้องควบคุมให้ได้ ถ้าเกิดความรุนแรงเมื่อไร ประเทศชาติก็จะถอยลงไปอีก
เมื่อวานหากดูจากคลิปหรือข้อมูลต่าง ๆ ทหารที่ออกไปช่วยนั้น คือช่วยไปดูแลเจ้าหน้าที่อยู่ข้างหลัง หากมีอะไรขึ้นมา ทหารจะได้ช่วยตำรวจและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ทหารตรงนั้นกลับได้รับบาดเจ็บเสียเอง และได้รับบาดเจ็บเพราะมีกลุ่มที่ต้องการสร้างความรุนแรง
หากเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยไป พวกที่ต้องการสร้างความรุนแรง ก็เข้าไปได้ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้สกรีนคน ซึ่งเราก็เห็นแล้วในคลิปว่าเขาเตรียมสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกับประทัด ที่มีไฟจุด ขว้างข้ามรถบัส ผมถามว่าหากปล่อยไป จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา หากปาเข้าไปในศาลหลักเมือง วัดพระแก้ว เกิดความเสียหาย ใครจะออกมายืนรับผิดชอบ แล้วความรู้สึกของคนทั้งประเทศจะเป็นอย่างไร
ส่วนจะยอมรับได้ขนาดไหน หากมีการบุกรุกพื้นที่เขตพระราชฐานในครั้งหน้า นั้น เขตพระราชฐาน มีลักษณะคล้ายกับบ้าน จึงไม่ต้องการให้ใครมาบุกรุก ทุกคนก็รักบ้านตัวเองและครอบครัวตัวเอง สิ่งที่ตนพยายาม ก็คืออย่าให้เกิดความรุนแรง