อภิปรายไม่ไว้วางใจ วานนี้ (16 ก.พ.64) นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายถึง คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หลังจากที่นายวรยุทธ หนีไปต่างประเทศ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ ประสานออกหมายแดงไปยังตำรวจสากล เป็นหมายแบบสาธารณะให้คนรับรู้ทั่วกัน เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2560 แต่ต่อมาวันที่ 30 ส.ค.2560 พล.ต.ต.อภิชาติ ถูกย้ายเข้ากรุเป็น ผบก.ประจำภูธรภาค 3 ผู้ที่นั่งหัวโต๊ะสั่งย้าย คือ พล.อ.ประวิตร และเปลี่ยนหมายแดงสากลเป็นหมายบุคคลทั่วไป ซึ่งเป็นหมายแดงปาหี่ ใส่เลขพาสปอร์ตที่ยกเลิกไปแล้ว ไม่ใส่ไฟล์ลายนิ้วมือและใบหน้ายืนยันตัวตน จากนั้นวันที่ 29 ส.ค.2562 พล.ต.ต.อภิชาติ ถูกย้ายไปอยู่กองส่งกำลังบำรุง ผู้นั่งหัวโต๊ะสั่งย้าย คือ พล.อ.ประยุทธ์ จนนำมาซึ่งคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หาก พล.ต.ต.อภิชาติ ไม่ถูกย้าย นายวรยุทธ จะถูกสั่งฟ้อง แม้ต่อมาตำรวจจะสั่งฟ้อง นายวรยุทธ แต่ยังตามตัวไม่ได้เพราะใช้หมายปาหี่
โดยต่อมาสถานทูตออสเตรียแจ้ง สตช.ว่า นายวรยุทธ ขอวีซ่าเชงเกนที่เข้าออกใน 2 6ประเทศสหภาพยุโรปได้ แต่สิ่งที่ตำรวจทำ คือ ส่งจดหมายไปกระทรวงต่างประเทศ ขอให้สถานทูตไทยในกรุงเวียนนาสืบหาที่อยู่ นายวรยุทธ แสดงให้เห็นว่า ตำรวจไม่กระตือรือร้นติดตาม นายวรยุทธ ผบ.ตร.ขณะนั้นต้องถูกเอาผิดละเว้นปฏิบัติหน้าที่ นายกฯต้องตั้งกรรมการสอบวินัย ผบ.ตร.หรือไม่ แบบนี้ซูเอี๋ยกันหรือไม่ หรือเป็นเพราะอดีต ผบ.ตร.คนนี้จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคพลังประชารัฐ
อย่างไรก็ตาม คดีนี้สั่นคลอนระบบยุติธรรมไทย ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ไม่สมคบกันใช้อำนาจแทรกแซงกระบวนการเอาผิด นายวรยุทธ ตั้งแต่ต้นน้ำ นี่ไม่ใช่การกระทำของนายกฯและรองนายกฯ แต่เป็นพฤติกรรมมาเฟียเก็บค่าต๋ง ใช้อำนาจปัดเป่าให้ใครที่เสนอผลประโยชน์ให้ตนเอง นี่คือที่บอกว่า รัฐประหารมาเพื่อความสามัคคีปราบทุจริต แต่สุดท้ายมาเพื่อสร้างระบบมาเฟียช่วยคนมีเงิน บนความเจ็บปวดของตำรวจชั้นผู้น้อย บดขยี้ศักดิ์ศรีกระบวนการยุติธรรม ไม่อาจทนมีนายกฯและรองนายกที่มีพฤติกรรมมาเฟียเช่นนี้ได้