โรม-ก้าวไกล ซัดแรง ฉลองครบรอบ 7 ปี ประชามติรัฐธรรมนูญ ที่ยกร่างขึ้นโดยฝ่ายคณะรัฐประหาร คสช. ไม่เสรี ไม่เป็นธรรม ไม่จริงใจ
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความ “ครบรอบ 7 ปี ประชามติรัฐธรรมนูญ : ม่เสรี ไม่เป็นธรรม ไม่จริงใจ ต้องแก้ไขได้” หลังจาก พรรคเพื่อไทย ประกาศจับมือ พรรคภูมิใจไทย ร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยโพสต์ของ นายรังสิมันต์ ระบุว่า วันที่ (7 ส.ค. 66) ครบรอบ 7 ปี การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นโดยฝ่ายคณะรัฐประหาร คสช. ซึ่งกลายมาเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ในสภามีวาระการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะโดย ส.ส. เสนอเอง หรือมีประชาชนเข้าชื่อเสนอมา มักมีผู้กล่าวอ้าง (ในทางที่คัดค้านความพยายามแก้ไขนั้น) อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการลงประชามติเห็นชอบจากประชาชนกว่า 16 ล้านคน ซึ่งผมขอย้ำไว้อีกครั้งว่าข้ออ้างเช่นนี้ไม่ใช่แค่ควรเลิกอ้าง แต่ไม่ควรอ้างขึ้นมาตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ

นั่นก็เพราะว่า ประชามติ ครั้งนั้น “ไม่เสรี” เนื่องจาก คสช. ได้ใช้ทั้งคำสั่งตามมาตรา 44 (ห้ามชุมนุม 5 คนขึ้นไป) และ พ.ร.บ.ประชามติในการห้ามรณรงค์เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ส่งผลให้มีผู้ที่รณรงค์คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญถูกจับกุมและดำเนินคดีถึง 212 คน หนึ่งในนั้นคือผมเอง ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทหารใช้กำลังจับกุมขณะที่ออกไปแจกเอกสารรณรงค์ Vote NO รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไปลงทะเบียนใช้สิทธิล่วงหน้านอกเขตของตัวเอง ที่ตลาดเคหะบางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2559
- พรรคเพื่อไทย แถลงจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับ ภูมิใจไทย ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อ
- แฉเพื่อชาติ หรือ แฉเพื่อใคร พร้อมพงศ์ ลุยแฉ ชูวิทย์ เปิดภาพเอ็กซ์คลูซีฟ
- เศรษฐา สวนกลับ ชูวิทย์ ฟ้องเรียก 500 ล้าน ลั่น ไม่ได้แกล้งคนใกล้ตาย
มากไปกว่านั้น ประชามติครั้งนั้นยัง “ไม่เป็นธรรม” เพราะในขณะที่ฝ่ายประชาชนที่ออกมารณรงค์คัดค้านต้องถูกดำเนินคดีดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่เมื่อหันไปดูทางฝ่ายสนับสนุนนั่นคือ คสช. และ กรธ. กลับสามารถโฆษณาชวนเชื่อได้อย่างอิสระ มีทั้งงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลในการตีพิมพ์เอกสารออกมาอวยแต่ข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญที่ตัวเองร่างขึ้นมา มีทั้งกำลังคนจากหน่วยงานราชการคอยแจกจ่ายเอกสารและเผยแพร่ข้อมูลตามที่ตัวเองต้องการ โดยไม่มีข้อห้ามตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น

และนอกจากนี้ ประชามติครั้งนั้นยังเป็นประชามติที่ “ไม่จริงใจ” เมื่อไปดูในส่วนของ “คำถามพ่วง” ที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งภายหลังถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นมาตรา 272 ที่ให้ ส.ว. มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน คำถามพ่วงนั้นเขียนโดยใช้ข้อความที่คลุมเครือว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาปกปิดอำพรางเนื้อแท้ไม่ให้ประชาชนเข้าใจได้โดยง่าย ยิ่งเมื่อไปดูเอกสารโฆษณาต่างๆ ที่ตีพิมพ์ขึ้นมา ก็แทบไม่มีการกล่าวถึงคำถามพ่วงนี้เลย ในส่วนเท่าที่พบเจอก็ยังอธิบายแบบเฉไฉไม่ตรงไปตรงมา รวมถึงไม่มีการพูดถึงด้วยว่า ส.ว. ที่มีอำนาจเลือกนายกฯ ใน 5 ปีแรกนั้นมาจากการเลือกของ คสช. คำถามพ่วงที่ตั้งขึ้นมานี้ส่อพฤติกรรมไม่ยอมแจ้งข้อมูลให้กระจ่าง พยายามสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนหวังให้คนอื่นมาตกหลุมพรางการสืบทอดอำนาจของฝ่ายคณะรัฐประหารเอง
ทั้ง 3 ข้อนี้ คือ เหตุผลว่าทำไม “รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560” จึงไม่เคยมีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตย และสมควรอย่างยิ่งที่จะถูกแก้ไขเนื้อหาอันเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว โดยก่อนหน้านี้พรรคก้าวไกลได้ยื่นแก้รัฐธรรมนูญเพื่อ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ยกเลิกอำนาจเลือกนายกฯ ตามมาตรา 272 ซึ่งขัดหลักประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัดที่สุดแล้ว และสามารถแก้ได้อย่างรวดเร็ว ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ส.ว. ทั้งหลายที่เคยบอกว่าต้องการปิดสวิตช์ตัวเอง เคยงดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกฯ ที่ผ่านมา รวมถึง ส.ส. จากทุกพรรคการเมือง รวมถึงพรรครัฐบาลเดิมด้วย ผู้ซึ่งล้วนมีที่ยืนในสังคมได้ก็เพราะพี่น้องประชาชน และที่ผ่านมาหลายพรรคก็เคยโหวตยกเลิกมาตรา 272 มาแล้ว จะมาร่วมกันเห็นชอบการแก้รัฐธรรมนูญปิดสวิตช์ ส.ว. ในครั้งนี้ด้วย อย่าหาข้ออ้างข้างๆ คูๆ ใดๆ มาทำลายอำนาจประชาชนอีกเลยครับ
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่น ๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY